ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - กลุ่มธรรมยาตราฯ ประกาศเจตนารมณ์ “ย่าโมกู้ชาติ” ต่อหน้าอนุสาวรีย์ย่าโมโคราช ลั่นเดินหน้าค้านอำนาจศาลโลก ทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหารและมณฑลบูรพา พร้อมขอพรให้การต่อสู้ของ ปชช.ได้รับชัยชนะ เผยเคลื่อนไหว 3 แนวทาง จี้รัฐบาลนำอนุสัญญาโตเกียวต่อสู้ในศาลโลก ยูเอ็น หากเมินล่าชื่อ ปชช.ยื่นฟ้องเอง และหนทางสุดท้ายคือ ปชช.ลุกฮือสถาปนารัฐบาลแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหา ขู่หากยังนิ่งเฉยจะงัดมาตรการทุกวิถีทาง
วันนี้ (24 ม.ค.) ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มธรรมยาตรากอบกู้รักษาผืนแผ่นดินไทย ในกรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา จำนวนกว่า 10 คน นำโดย นายสมาน ศรีงาม ประธานคณะธรรมยาตราฯ และเลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ได้รวมตัวกันประกาศเจตนารมณ์ต่อหน้าย่าโม ในการเดินหน้าคัดค้านขอบเขตอำนาจศาลโลก และทวงคืนแผ่นดินไทย กรณีเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา
โดยกลุ่มธรรมยาตราฯ ได้ประกอบพิธีบวงสรวงสักการะย่าโมและอ่านแถลงการณ์ “คำประกาศย่าโมกู้ชาติ เขาพระวิหารและมณฑลบูรพา ตามอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941” ต่อหน้าอนุสาวรีย์ย่าโม เพื่อขอพรให้การต่อสู้ของกลุ่มธรรมยาตราฯ และประชาชนไทยได้รับชัยชนะ จากนั้นได้เดินทางไปร่วมเสวนาและกำหนดท่าทีในการเคลื่อนไหว กรณีคดีปราสาทพระวิหาร และข้อพิพาทเขาพระวิหาร ไทย-กัมพูชา ที่โรงแรมโคราชโฮเต็ล อ.เมือง จ.นครราชสีมา และช่วงบ่ายได้ทำการเปิดศูนย์ประสานงานธรรมยาตราฯ จ.นครราชสีมา เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับองค์กรเครือข่ายต่างๆ ต่อไป
นายสมาน ศรีงาม ประธานคณะธรรมยาตราฯ เปิดเผยว่า การเดินทางมากราบสักการะและบวงสรวงดวงวิญญาณย่าโม พร้อมอ่านคำประกาศ “ย่าโมกู้ชาติ เขาพระวิหารและมณฑลบูรพา ตามอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941” ครั้งนี้ เพื่อขออำนาจย่าโมได้ช่วยให้ประชาชนทั่วประเทศเป็นเอกภาพ เกิดความสามัคคีกันเพื่อกอบกู้แผ่นดินไทยกรณีเขาพระวิหารและมณฑลบูรพาให้ประสบความสำเร็จให้จงได้
ทั้งนี้ กลุ่มธรรมยาตราฯ ได้กำหนดแนวทางในการเคลื่อนไหวต่อสู้กรณีเขาพระวิหารและคดีปราสาทพระวิหารที่ได้ประกาศต่อหน้าย่าโมไว้แล้ว 3 แนวทาง คือ 1. เรียกร้องผลักดันรัฐบาลต่อสู้แบบให้ได้ชัยชนะด้วยการเลิกยึดถือสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ1907 ซึ่งเป็นสัญญาแพ้ที่ไทยเรายึดถือและทำให้แพ้มาตลอด เพราะฝรั่งเศสบังคับให้ไทยลงนามยอมรับเมื่อ ร.ศ. 130 หรือ 100 กว่าปีที่แล้ว ฉะนั้นต้องเลิกยึดถือสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสนี้เด็ดขาด แล้วหันมายึดถืออนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นสัญญาชนะที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ต่อสู้เอาชนะไว้แล้วเมื่อปี 2484 ฉะนั้นรัฐบาลต้องนำอนุสัญญาโตเกียวไปต่อสู้ในศาลโลก รวมทั้งในสหประชาชาติ อาเซียน และระดับทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา
แนวทางที่ 2 หากรัฐบาลยังไม่ทำตามข้อเสนอแรกประชาชนชาวไทยจะทำเอง โดยรวบรวมรายชื่อคนทั้งประเทศนำเอาอนุสัญญาโตเกียวไปยื่นฟ้องต่อศาลโลกและสหประชาชาติโดยตรง ว่าฝรั่งเศสรุกรานไทยและสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสไม่เป็นธรรม ฉะนั้นการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตามกฎหมายระหว่างประเทศต้องยึดถือตามอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 ซึ่งเป็นสัญญาที่ถูกต้องตามกติกาการปฏิบัติ โดยจะเร่งรวบรวมรายชื่อประชาชนทั่วประเทศให้ได้มากที่สุดเพื่อยื่นฟ้องให้ทันต่อเหตุการณ์ที่ศาลโลกจะพิจารณาคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ในเดือน เม.ย.นี้
และแนวทางที่ 3 เมื่อดำเนินการ 2 แนวทางแล้วยังไม่ยุติ เหลือแนวทางเดียวคือจำเป็นต้องนำพาพี่น้องประชาชนเข้าเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศซึ่งเป็นการปกครองของเผด็จการรัฐสภาในปัจจุบันให้เป็นการปกครองของประชาชนแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยมีรัฐบาลเฉพาะกาลหรือรัฐบาลแห่งชาติ และมีรัฐสภาเฉพาะกาลของประชาชน คือสภาประชาชน เพื่อทำการปกครองประเทศด้วยอำนาจของประชาชน และใช้อำนาจนี้ยึดถืออนุสัญญาโตเกียว เข้าต่อสู้ในศาลโลก ในสหประชาชาติต่อไป ซึ่งประเด็นหลักของอนุสัญญาโตเกียวคือ ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไทย-กัมพูชา จะทำให้เขาพระวิหารและมณฑลบูรพากลับมาเป็นของไทยเช่นเดิม
“การเคลื่อนไหวของกลุ่มธรรมยาตราฯ จากนี้ไปจะเน้นไปที่การล่ารายชื่อและผลักดันให้รัฐบาลเลิกยึดถือสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904-1907 และหันมายึดถืออนุสัญญาโตเกียว 1941 แทน ซึ่งทางกลุ่มได้ยื่นหนังสือกับรัฐบาลแล้วเมื่อ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับภาคประชาชนบางส่วนที่ผลักดันเช่นกัน แต่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการอะไรคงเดินในทางที่จะแพ้ต่อไป เพราะฉะนั้นฝ่ายประชาชนต้องผลักดันโดยใช้มาตรการสันติทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมใหญ่อย่างสันติ ปราศจากอาวุธ การยื่นแสดงประชามติในรูปการณ์ต่างๆ ส่วนจะชุมนุมใหญ่เมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมของประชาชนที่จะเข้าใจแนวทางที่เรานำเสนอ” นายสมานกล่าว