สระบุรี - “จ.ส.ต.” ทำหน้าที่พลขับประจำตัว พ.ต.ท.บันเทิง กล่องแก้ว สวป.สภ.เสาไห้ ขับรถกลับจากตรวจพื้นที่เสยรถบรรทุกเทรลเลอร์ขณะกลับรถดับอนาถ
เมื่อเวลา 23.45 น. กลางดึกคืนวันที่ 23 ธ.ค.55 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.เสาไห้ จ.สระบุรี ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถยนต์สายตรวจของ สภ.เสาไห้ ชนกับรถบรรทุกเทรลเลอร์ 22 ล้อ บนถนนพิชัยรณรงค์สงคราม สายสระบุรี-เสาไห้ ใกล้โรงเรียนเสาไห้วิมลฯ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างรัตนตรัยธรรมสถานสระบุรี
ในที่เกิดเหตุ พบรถยนต์สายตรวจของ สภ.เสาไห้ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ญษ 7893 กทม.ที่ด้านหน้าพังยับเยินชนติดอยู่กับล้อด้านหลังของส่วนเทรลเลอร์ยี่ห้อ แช็คแมน ส่วนหัวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ส่วนเทรลเลอร์หมายเลขทะเบียน 70-1937 ราชบุรี ที่จอดขวางถนนอยู่ ทำให้ยางแตก 2 เส้น ผู้ได้รับบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาลเสาไห้ ที่อยู่ห่างราว 150 เมตร เพื่อช่วยชีวิตแต่ถึงมือแพทย์ไม่นานนักก็เสียชีวิต สภาพศพศีรษะเปิด ขาหักทั้งสองข้าง หน้าอกถูกพวงมาลัยอัดจนยุบ ทราบชื่อต่อมาคือ จ.ส.ต.สุรชัย จันทรประทักษ์ ผบ.หมู่งาน ป.สภ.เสาไห้ ทำหน้าที่พลขับประจำตัว พ.ต.ท.บันเทิง กล่องแก้ว สวป.สภ.เสาไห้
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ จ.ส.ต.สุรชัย กลับจากตรวจพื้นที่ ขณะมาถึงที่เกิดเหตุเป็นที่มืด และกำลังมีการขยายผิวถนนไม่ทันระวังตัวพบรถบรรทุกเทรลเลอร์จอดขวางถนนอยู่แต่เบรกไม่ทันทำให้รถสายตรวจที่ขับมาพุ่งเข้าชนรถเทรลเลอร์อย่างจัง
ส่วนนายวิชัย นันทวิจิตร อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/8 ม.8 ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ คนขับรถเทรลเลอร์ ยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่ให้การว่า รถเทรลเลอร์เป็นของบริษัท ศรีสยาม อยู่ที่ ซ.12 อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ก่อนมาเกิดเหตุ ตนและภรรยาได้บรรทุกน้ำตาลจาก อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ไปส่งลูกค้าที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี และเพิ่งมาขับเป็นเที่ยวแรก
“ขณะเดินทางกลับมาตามถนนเลี่ยงเมืองถึงสี่แยกเสาไห้ ผมไม่ทราบเส้นทางได้เลี้ยวรถไปทาง อ.เสาไห้ แต่เมื่อขับไปได้ครู่เดียวสังเกตข้างทางเห็นว่าไม่ใช่เส้นทางที่จะไป จ.ลพบุรี ผมจึงได้เลี้ยวกลับรถตรงจุดเกิดเหตุ ประกอบกับเป็นถนนแคบ และกำลังมีการขยายผิวจราจรทำให้รถติดหล่มอยู่ เป็นเวลาเดียวกับ จ.ส.ต.สุรชัย ขับรถสายตรวจผ่านมาพอดี ซึ่งเป็นที่มืดมองไม่เห็น จึงได้พุ่งเข้าชนส่วนท้ายรถอย่างจังสนั่นหวั่นไหวเสียชีวิตดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวไว้ดำเนินคดีในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”