xs
xsm
sm
md
lg

“กิตติรัตน์” เปิดประชุมใหญ่สรรพากร 16 เขต ศก.-วอนคนไทยเข้าระบบภาษี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถ่ายภาพร่วมกับผู้แทนจาก 16 เขตเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในพิธีเปิดการประชุมคณะศึกษาดานการบริหารและการค้นคว้าทางภาษีอากรแห่งเอเชีย (The Study Group in Asian Tax Administration and Research : SGATAR) ครั้งที่ 42 ณ โรงแรมแชงกรีลา จังหวัดเชียงใหม่
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “กิตติรัตน์” เป็นประธานเปิดประชุมใหญ่สรรพากร 16 เขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกครั้งที่ 42 ที่เชียงใหม่ ประกาศพร้อมร่วมมือทุกชาติสร้างสรรค์เศรษฐกิจในภูมิภาค พร้อมวอนประชาชนนอกระบบภาษีหันมาเข้าระบบช่วยกันพัฒนาประเทศ ด้านอธิบดีสรรพากรแจงเป็นโอกาสดีได้แลกเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดเก็บภาษีกับนานาชาติ

วันนี้ (19 พ.ย.) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมคณะศึกษาด้านการบริหารและการค้นคว้าทางภาษีอากรแห่งเอเชีย (The Study Group in Asian Tax Administration and Research : SGATAR) ครั้งที่ 42 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา จ.เชียงใหม่

การประชุมดังกล่าวซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงจาก 16 สรรพากรเขตเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมด้วยผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เข้าร่วมนั้นจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 19-22 พ.ย. 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานบริหารจัดเก็บภาษีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านโครงสร้างระบบภาษีอากร นโยบายภาษี และการวางแผนและวิธีการปฏิบัติในการบริหารจัดเก็บภาษี ซึ่งในปีนี้ที่ประชุมได้เลือกประเด็นเรื่องการบริหารจัดเก็บภาษีสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ การแก้ไขข้อพิพาทโดยการเจรจาตกลงระหว่างประเทศ และการตรวจสอบอาชญากรรมทางภาษี เป็นประเด็นสำคัญในการประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน

ภายหลังพิธีเปิดการประชุม นายกิตติรัตน์ และ ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ได้ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยนายกิตติรัตน์กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศต่างๆ จะได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางด้านภาษีอากรระหว่างกัน รวมทั้งยังสามารถนำแนวทางของแต่ละประเทศที่ได้ผลดีมาใช้เป็นต้นแบบสำหรับการดำเนินในประเทศของตนได้อีกด้วย ขณะที่ประเทศไทยซึ่งได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศสมาชิกในทุกด้าน เพื่อให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีความเจริญก้าวหน้าและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ดร.สาธิตกล่าวว่า ประเด็นที่ที่ประชุมได้หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นหัวข้อที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจขนาดใหญ่ถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของภาษีที่เก็บได้ทั้งหมด ซึ่งในอนาคตเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 การทำการค้าและธุรกรรมระหว่างประเทศจะมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การบริการต่างๆ และการบริหารงานภาษีอากรที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแต่ละฝ่ายยังต้องร่วมกันจัดเตรียมมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางภาษี ทั้งการหลีกเลี่ยงและการทุจริตให้รัดกุมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ ดร.สาธิตยังเปิดเผยด้วยว่า จากการหารือก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้น ประเทศไทยได้เห็นชอบการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับประเทศเกาหลีและประเทศมาเลเซีย ในการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันของทั้งสองฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ยังได้กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามปรับเปลี่ยนอัตราการจัดเก็บภาษีบางรายการให้มีความเหมาะสม เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือภาษีสรรพสามิต เนื่องจากเล็งเห็นว่าแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีอากรของประเทศหลายส่วนยังยืนอยู่บนแนวทางเดิมๆ ที่ไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป จึงพยายามที่จะปรับแต่งโครงสร้างการจัดเก็บภาษี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การจัดเก็บภาษีหลายๆ ส่วนนั้นถูกลง แต่ว่าขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้น ซึ่งในระยะยาวเชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้ภาครัฐได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยดึงให้ผู้ที่อยู่นอกรระบบภาษีเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น

นายกิตติรัตน์ระบุว่า กระบวนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีเป็นสิ่งที่จะต้องค่อยๆ ดำเนินการโดยพิจารณาอย่างรอบคอบ และในอนาคตจะทำให้ผู้ที่หลีกเลี่ยงหรืออยู่นอกระบบภาษีมีน้อยลง ซึ่งจากผลการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2555 พบว่าสามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นถึงทิศทางการจัดเก็บภาษีของประเทศที่เป็นไปในทางที่ดี อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญในเรื่องของการนำผู้ที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี และการป้องกันและตรวจสอบการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีถือเป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อให้การทำธุรกรรมด้านภาษีและข้อมูลต่างๆ มีการบริหารงานอย่างเป็นระบบ

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ อยากจะขอเชิญชวนประชาชนและผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบฐานภาษีให้เข้ามาทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ขอยืนยันว่าไม่ต้องวิตกว่าหากเข้าสู่ระบบฐานภาษีแล้วรัฐบาลจะตามขุดคุ้ยหรือเรียกเก็บผลประโยชน์ย้อนหลัง แต่จะถือเป็นการ่วมกันทำทุกอย่างให้ถูกต้องและเป็นไปตามระบบโดยยึดถือเอาช่วงเวลาปัจจุบันเป็นสำคัญ และหากในอนาคตเมื่อระบบการจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว หากพบว่ามีผู้ที่ตั้งใจหลบเลี่ยง โทษที่ได้รับจะส่งผลต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการมากกว่าในปัจจุบันหลายเท่า
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ดร.สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร
กำลังโหลดความคิดเห็น