เชียงราย - เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ พร้อม จนท.เรือนจำฯ บุกค้นคุกเชียงรายครั้งใหญ่ พบมือถืออีกกว่าครึ่งร้อยซุกแดน 2 และ 3 รวมยอดเดือนตุลาฯ 55 ด้วยทำสถิติมือถือโผล่เรือนจำเหยียบ 200 เครื่อง
วันนี้ (6 พ.ย.) นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลาง จ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวันชัย ทวยไพบูลย์ ผอ.ชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมราชทัณฑ์ ได้นำกำลังของเรือนจำกลางประมาณ 60 นาย ร่วมกับชุดปฏิบัติพิเศษอีก 100 นาย รวมประมาณ 160 นาย บุกจู่โจมเข้าตรวจค้นภายในแดนต่างๆ ของเรือนจำกลางเชียงราย เพื่อตรวจค้นหาสิ่งของผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
โดยในช่วงเช้าสามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือภายในแดน 2 ซึ่งผู้ต้องขังซุกซ่อนตามจุดต่างๆ เช่น สนามหญ้า ห้องนอน ถังขยะ ฯลฯ จำนวน 54 เครื่อง อุปกรณ์ชาร์จ แบตเตอรี่ สายหูฟัง ฯลฯ อีกจำนวนมาก และในช่วงบ่ายสามารถยึดโทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์ได้ที่แดน 3 ซึ่งมีผู้ต้องหากว่า 1,500 นาย ได้อีกจำนวน 5 เครื่อง พบถูกซุกซ่อนในซองจดหมาย และถุงยางอนามัย
นอกจากนี้ เรือนจำได้ร่วมกับสาธารณสุขทำการตรวจปัสสาวะผู้ต้องขัง พบเป็นสีม่วงจำนวน 5 ราย จึงได้ควบคุมตัวดำเนินคดีเพิ่มเติม และขยายผลไปหาตัวผู้เป็นเจ้าของอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดต่อไป
นายกฤชกล่าวว่า ปัจจุบันเรือนจำกลาง จ.เชียงรายมีผู้ต้องขังทั้งหมด 4,970 คน ส่วนใหญ่ต้องคดียาเสพติดประมาณ 70% และพฤติกรรมที่ผ่านมาคือมีความพยายามจะนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารและยาเสพติดเข้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยในรอบเดือนตุลาคม 55 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถยึดของกลางโทรศัพท์มือถือได้ 61 เครื่อง เฮโรอีน 20 กรัม และยาไอซ์อีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนการปฏิบัติการของชุดปฏิบัติการพิเศษถือว่าได้ตรวจค้นเรือนจำกลางเชียงราย เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้แล้ว โดยครั้งแรกเมื่อเดือน มิ.ย.สามารถยึดของกลางได้กว่า 81 เครื่อง
นายกฤชกล่าวอีกว่า ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ได้พยายามเข้มงวดเพราะพบว่าขบวนการค้ายาเสพติดพยายามจะนำเข้าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสาร สั่งซื้อขายยาเสพติด ดังนั้นจึงได้เฝ้าระวังเป็นพิเศษ กรณีนักโทษจำนวน 20 คนที่ต้องให้ออกไปทำงานนอกกำแพง โดยอาจพิจารณายกเลิกและให้ไปอยู่ที่เรือนจำนอกแทนเพื่อไม่ให้ติดต่อกับคนที่อยู่ภายใน
ส่วนการโยนหรือใช้อุปกรณ์ยิงเข้าข้ามเรือนจำก็ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเป็นการเฉพาะแล้วถือว่าได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีความพยายามด้วยวิธีการต่างๆ จึงต้องตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อตัดวงจรการสื่อสารของการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าวให้ถึงที่สุด