ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ภัยแล้งลามกระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาโคราชกว่า 2.6 หมื่นรายเดือดร้อน ส่งผลต่อการขยายพันธุ์ปลาและผลผลิตออกสู่ตลาดลดฮวบ เผยสถานการณ์น่าห่วง 3 อ่างใหญ่แห้ง คาดมีน้ำไม่เพียงพอเลี้ยงปลาต้องควบคุมปริมาณ เตือนเกษตรกรระวังคุณภาพน้ำและขึ้นทะเบียนต่อ จนท.เพื่อวางแผนช่วยเหลือเยียวยา
วันนี้ (6 พ.ย.) นายสมพร กุลบุญ ประมงจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากภาวะฝนแล้งและฝนทิ้งช่วงที่ผ่านมาทำให้ปริมาณน้ำมีน้อยมาก ทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำชลประทาน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้สำหรับเพาะเลี้ยงปลา ทำให้เกิดผลกระทบต่อการประมง เนื่องจากสภาพที่มีน้ำเหลือน้อยไม่เหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ปลา และปลาเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
จากข้อมูลเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด เช่น ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาดุก ปลาทับทิม ในพื้นที่ทั้ง 32 อำเภอของ จ.นครราชสีมา จนถึงวันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 26,322 ราย ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงเพื่อยังชีพหรือใช้เพื่อบริโภคในครัวเรือน 25,269 ราย ส่วนอีก 1,053 รายเป็นฟาร์มเลี้ยงเพื่อค้าขาย มีจำนวนบ่อเพาะเลี้ยงทั้งหมด 51,338 บ่อ และเลี้ยงในกระชัง 162 กระชัง มีผลผลิตรวมกันประมาณ 22,000 ตัน ซึ่งภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตปลาออกสู่ตลาดลดลง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงปลากระชังในอ่างเก็บน้ำลำแชะ, ลำมูลบน และลำมูล ในเขต อ.ครบุรี, โชคชัย, เฉลิมพระเกียรติ และ อ.พิมาย อาจมีน้ำไม่เพียงพอสำหรับการเพาะเลี้ยงปลา ส่วนแนวทางที่ทำได้คือ ต้องควบคุมจำนวนผู้เลี้ยงและจำกัดพื้นที่การทำกระชังเลี้ยงปลาไม่ให้มีมากไปกว่านี้ และที่สำคัญเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ทั้งบ่อเลี้ยงและกระชังปลา ต้องขึ้นทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมวางแผนการช่วยเหลือเยียวยาในกรณีเกิดความเสียหาย เช่น โรคระบาด หรือปลาตายจากภาวะภัยแล้ง
นายสมพรกล่าวอีกว่า อยากฝากไปยังเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาว่าต้องควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อปลา โดยเติมปูนขาวในอัตรา 60-100 กิโลกรัมต่อไร่ และหากพบว่าน้ำเริ่มเน่าเสียให้ใช้เกลือแกงสาดบริเวณที่พบจุดเน่าเสียในอัตรา 200-300 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมทั้งสาดน้ำชีวภาพ 4 ลิตรต่อไร่ เพื่อรักษาคุณภาพน้ำที่เหลือน้อยให้เหมาะสมต่อสภาพการเลี้ยงปลาให้เจริญเติบโตในหน้าแล้ง หรือหากมีข้อสงสัยให้สอบถามหรือขอคำแนะนำได้ที่ประมงอำเภอใกล้บ้าน หรือที่ประมงจังหวัดนครราชสีมาได้ในวัน และเวลาราชการ
วันนี้ (6 พ.ย.) นายสมพร กุลบุญ ประมงจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จากภาวะฝนแล้งและฝนทิ้งช่วงที่ผ่านมาทำให้ปริมาณน้ำมีน้อยมาก ทั้งในแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำชลประทาน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้สำหรับเพาะเลี้ยงปลา ทำให้เกิดผลกระทบต่อการประมง เนื่องจากสภาพที่มีน้ำเหลือน้อยไม่เหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ปลา และปลาเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
จากข้อมูลเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด เช่น ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาดุก ปลาทับทิม ในพื้นที่ทั้ง 32 อำเภอของ จ.นครราชสีมา จนถึงวันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 26,322 ราย ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงเพื่อยังชีพหรือใช้เพื่อบริโภคในครัวเรือน 25,269 ราย ส่วนอีก 1,053 รายเป็นฟาร์มเลี้ยงเพื่อค้าขาย มีจำนวนบ่อเพาะเลี้ยงทั้งหมด 51,338 บ่อ และเลี้ยงในกระชัง 162 กระชัง มีผลผลิตรวมกันประมาณ 22,000 ตัน ซึ่งภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตปลาออกสู่ตลาดลดลง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงปลากระชังในอ่างเก็บน้ำลำแชะ, ลำมูลบน และลำมูล ในเขต อ.ครบุรี, โชคชัย, เฉลิมพระเกียรติ และ อ.พิมาย อาจมีน้ำไม่เพียงพอสำหรับการเพาะเลี้ยงปลา ส่วนแนวทางที่ทำได้คือ ต้องควบคุมจำนวนผู้เลี้ยงและจำกัดพื้นที่การทำกระชังเลี้ยงปลาไม่ให้มีมากไปกว่านี้ และที่สำคัญเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ทั้งบ่อเลี้ยงและกระชังปลา ต้องขึ้นทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมวางแผนการช่วยเหลือเยียวยาในกรณีเกิดความเสียหาย เช่น โรคระบาด หรือปลาตายจากภาวะภัยแล้ง
นายสมพรกล่าวอีกว่า อยากฝากไปยังเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาว่าต้องควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อปลา โดยเติมปูนขาวในอัตรา 60-100 กิโลกรัมต่อไร่ และหากพบว่าน้ำเริ่มเน่าเสียให้ใช้เกลือแกงสาดบริเวณที่พบจุดเน่าเสียในอัตรา 200-300 กิโลกรัมต่อไร่ พร้อมทั้งสาดน้ำชีวภาพ 4 ลิตรต่อไร่ เพื่อรักษาคุณภาพน้ำที่เหลือน้อยให้เหมาะสมต่อสภาพการเลี้ยงปลาให้เจริญเติบโตในหน้าแล้ง หรือหากมีข้อสงสัยให้สอบถามหรือขอคำแนะนำได้ที่ประมงอำเภอใกล้บ้าน หรือที่ประมงจังหวัดนครราชสีมาได้ในวัน และเวลาราชการ
