กาญจนบุรี - เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี เตือนผู้ปลูกข้าวเฝ้าระวังปัญหา “ข้าวกระทบหนาว” และโรคไหม้ข้าว เกษตรกรที่เตรียมจะปลูกข้าวควรติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (6 พ.ย.) นายบุญส่ง หุตังคบดี เกษตรและสหกรณ์จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาพอากาศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายพื้นที่ มีหมอกบางในตอนเช้า มีอุณหภูมิต่ำลง เกษตรกรที่ปลูกข้าวจะประสบกับปัญหา “ข้าวกระทบหนาว” ไม่ได้ผลผลิตเต็มที่โดยพันธุ์ข้าวที่มีความอ่อนแอต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้แก่ พันธุ์พิษณุโลก 2 ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับข้าวทุกระยะ ดังนั้น เกษตรกรควรหมั่นตรวจแปลงนา และสังเกตความผิดปกติของต้นข้าวเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ได้ทันท่วงที
ลักษณะอาการต้นข้าวที่ได้รับผลกระทบนั้น ข้าวที่อยู่ในระยะกล้าต้นข้าวจะชะงักการเจริญเติบโต แคระแกร็น ใบเหลือง และอาจจะหยุดการเจริญเติบโตจนถึงตายได้ในกรณีที่อุณหภูมิลดต่ำลงมาก ถ้าออกในระยะออกดอก หรือระยะผสมเกสร จะทำให้ผสมไม่ติดเมล็ดลีบมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เกษตรกรยังไม่ควรใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นข้าว เนื่องจากต้นข้าวจะไม่สามารถดึงปุ๋ยไปใช้ได้ตามปกติ ควรใส่เมื่ออุณหภูมิสู งและอากาศอุ่นขึ้นต้นข้าวจึงจะดูดปุ๋ยและเจริญเติบโตได้ตามปกติ
สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรเฝ้าระวังโรคไหม้ เนื่องจากขณะนี้สภาพอากาศที่เย็นรวมทั้งแห้งและชื้น ต้นข้าวจะมีความอ่อนแอต่อโรคไหม้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ โรคนี้พบมากในข้าวพันธุ์พื้นเมืองไวต่อช่วงแสง ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 และข้าวพันธุ์ผสม เช่น กข 6 และ กข15 ที่เกษตรกรนิยมปลูก โดยมีสาเหตุจากเชื้อรา เกิดได้กับข้าวทุกระยะ หากเป็นข้าวในระยะกล้า จะพบใบมีแผลจุดสีน้ำตาลคล้ายรูปตา ถ้าอาการของโรครุนแรงกล้าข้าวจะแห้งตาย อาการคล้ายถูกไฟไหม้ ในระยะแตกกอจะพบแผลบริเวณข้อต่อของใบ และข้อต่อของลำต้น และระยะคอรวง (ระยะออกรวง) จะพบแผลบริเวณคอรวงซึ่งจะมีผลทำให้เมล็ดลีบ หรือคอรวงหักได้ ผลผลิตข้าวจะลดลง หรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ทั้งนี้ หากพบมีโรคไหม้ในแปลงนา เกษตรกรสามารถควบคุมความรุนแรงของโรคได้ โดยใช้สารป้องกันกำจัดโรคตามคำแนะนำของกรมการข้าว พ่นในข้าวที่ออกรวงจนถึงใกล้เก็บเกี่ยว
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่เตรียมจะปลูกข้าวในขณะนี้ควรติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้พันธุ์ข้าวพิษณุโลก 2 โดยปลูกพันธุ์อื่นที่ทนสภาพหนาวได้ดีกว่า เช่น กข 31 (ปทุมธานี 80) หรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกาญจนบุรี ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ชั้น 4 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 71000 โทร.0-3451-6894
วันนี้ (6 พ.ย.) นายบุญส่ง หุตังคบดี เกษตรและสหกรณ์จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาพอากาศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายพื้นที่ มีหมอกบางในตอนเช้า มีอุณหภูมิต่ำลง เกษตรกรที่ปลูกข้าวจะประสบกับปัญหา “ข้าวกระทบหนาว” ไม่ได้ผลผลิตเต็มที่โดยพันธุ์ข้าวที่มีความอ่อนแอต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้แก่ พันธุ์พิษณุโลก 2 ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับข้าวทุกระยะ ดังนั้น เกษตรกรควรหมั่นตรวจแปลงนา และสังเกตความผิดปกติของต้นข้าวเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ได้ทันท่วงที
ลักษณะอาการต้นข้าวที่ได้รับผลกระทบนั้น ข้าวที่อยู่ในระยะกล้าต้นข้าวจะชะงักการเจริญเติบโต แคระแกร็น ใบเหลือง และอาจจะหยุดการเจริญเติบโตจนถึงตายได้ในกรณีที่อุณหภูมิลดต่ำลงมาก ถ้าออกในระยะออกดอก หรือระยะผสมเกสร จะทำให้ผสมไม่ติดเมล็ดลีบมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เกษตรกรยังไม่ควรใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นข้าว เนื่องจากต้นข้าวจะไม่สามารถดึงปุ๋ยไปใช้ได้ตามปกติ ควรใส่เมื่ออุณหภูมิสู งและอากาศอุ่นขึ้นต้นข้าวจึงจะดูดปุ๋ยและเจริญเติบโตได้ตามปกติ
สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรเฝ้าระวังโรคไหม้ เนื่องจากขณะนี้สภาพอากาศที่เย็นรวมทั้งแห้งและชื้น ต้นข้าวจะมีความอ่อนแอต่อโรคไหม้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ โรคนี้พบมากในข้าวพันธุ์พื้นเมืองไวต่อช่วงแสง ได้แก่ ขาวดอกมะลิ 105 และข้าวพันธุ์ผสม เช่น กข 6 และ กข15 ที่เกษตรกรนิยมปลูก โดยมีสาเหตุจากเชื้อรา เกิดได้กับข้าวทุกระยะ หากเป็นข้าวในระยะกล้า จะพบใบมีแผลจุดสีน้ำตาลคล้ายรูปตา ถ้าอาการของโรครุนแรงกล้าข้าวจะแห้งตาย อาการคล้ายถูกไฟไหม้ ในระยะแตกกอจะพบแผลบริเวณข้อต่อของใบ และข้อต่อของลำต้น และระยะคอรวง (ระยะออกรวง) จะพบแผลบริเวณคอรวงซึ่งจะมีผลทำให้เมล็ดลีบ หรือคอรวงหักได้ ผลผลิตข้าวจะลดลง หรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ทั้งนี้ หากพบมีโรคไหม้ในแปลงนา เกษตรกรสามารถควบคุมความรุนแรงของโรคได้ โดยใช้สารป้องกันกำจัดโรคตามคำแนะนำของกรมการข้าว พ่นในข้าวที่ออกรวงจนถึงใกล้เก็บเกี่ยว
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่เตรียมจะปลูกข้าวในขณะนี้ควรติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้พันธุ์ข้าวพิษณุโลก 2 โดยปลูกพันธุ์อื่นที่ทนสภาพหนาวได้ดีกว่า เช่น กข 31 (ปทุมธานี 80) หรือติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกาญจนบุรี ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ชั้น 4 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 71000 โทร.0-3451-6894
