ลำปาง - บุกพิสูจน์บ้านพักอดีตเจ้าแม่บาร์พัฒนพงษ์-เศรษฐินีตกอับ หลานปล่อยให้บ้านถูกตัดน้ำ ตัดไฟ พร้อมให้ออกจากบ้านสิ้นเดือนนี้ พบเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นใช้งานไม่ได้ ของในตู้เย็นเน่าหมด-แก๊สหมดมานานกว่า 5 เดือน แม้แต่เครื่องซักผ้ายังถูกเก็บสายไฟซ่อน บอกวันนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว ขอแค่ลูกส่งเบี้ยยังชีพคนชรามาให้ซื้อชุดขาวบวชชีเท่านั้น เพื่อนบ้านร่วมยืนยันช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หลังจาก “ASTVผู้จัดการ” นำเสนอเรื่องราวของ ยายสุภานี ศรีสุภะ วัย 75 ปี อดีตเจ้าแม่บาร์หรูย่านพัฒนพงษ์ในอดีต คือ โนนี่บาร์ และเสาวณีย์บาร์ ที่ถือเป็นบาร์สุดหรูในยุค 40 กว่าปีก่อน ตั้งอยู่ระหว่างพัฒนพงษ์ซอย 1 และ 2 โดยเฉพาะโทนี่บาร์ (Tony Bar) กล่าวได้ว่า เป็น 1 ในบาร์ที่โด่งดังมากที่สุดแห่งยุค ลูกค้าที่เป็นเมมเบอร์แทบทั้งหมดล้วนแต่เป็นชาวต่างชาติ-สจ๊วต แต่วันนี้ อดีตเศรษฐินีกลับมีชีวิตที่ตกอับ ลูกหลานไม่ยอมดูแล-เลี้ยงดู และกำลังจะถูกหลานให้ออกจากบ้านที่มาอาศัยอยู่ด้วยในหมู่บ้านการเคหะตำบลพิชัย อ.เมืองลำปาง ได้ประมาณ 7 เดือนภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักเที่ยวในยุคนั้นหลายคนต่างก็จดจำ 2 บาร์สุดหรูแห่งพัฒนพงษ์นี้ได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งเมื่อคืนวันที่ 27 ก.ย.55 ที่ผ่านมา หลานสาวยายสุภานี ที่ดูแลบ้านเลขที่ 229/419 และ 229/420 ซึ่งยายสุภานีอาศัยอยู่ด้วย คือนางสุปราณี ศรีสุภะ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ ว่า เรื่องที่ยายสุภานีบอกกับผู้สื่อข่าวนั้น ไม่เป็นความจริง ลูกสาว (เทซี่) ของยายสุภานี และเธอที่เป็นหลาน รวมถึงพี่สาว ดูแลยายสุภานีเป็นอย่างดี แต่ยายสุภานีชอบหนีออกจากบ้านหากไม่พอใจลูกสาว และเคยหนีออกจากบ้านหลายครั้ง แถมยังระบุว่า ยายสุภานีติดเหล้า
ส่วนเรื่องน้ำเรื่องไฟหลานยายสุภานีคนดังกล่าวระบุว่า เธอก็เป็นคนชำระทั้งหมด ไม่ได้ปล่อยให้โดนตัดแต่ อย่างใด และที่ผ่านมา เธอก็ให้เงินคุณยายใช้ครั้งละ 200 บาท บ้าง 500 บาทบ้าง พี่สาว (หลานอีกคน) ก็ให้เงินใช้เดือนละ 500 บาท เรื่อยมา แต่ยายสุภานีออกมาให้ข่าวเพราะต้องการสร้างภาพ นอกจากนี้ ยังระบุอีกว่า การที่ยายสุภานีบอกว่าเคยมีเงินทองมากมาย เธอก็ไม่เคยเห็น อีกทั้งที่ผ่านมาได้มีคนคนหนึ่งโทรศัพท์ไปขู่กรรโชกเพื่อให้ลูกสาวของคุณยายโอนเงินจำนวน 5,000 บาท มาให้ด้วย
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง และจากการเข้าไปตรวจสอบบริเวณบ้านพักของยายสุภานี คือบ้านเลขที่ 229/419 อยู่ติดกับบ้านของหลานสาว (จุ๋ม) คือ เลขที่ 229/420 โดยยายสุภานี จะนอนอยู่ชั้นล่างของบ้านนั้น พบว่า บ้านหลังของหลานสาวถูกตัดไฟไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยู่ในบ้าน และใช้ร่วมกันภายในห้องครัวด้านหลังบ้านไม่สามารถใช้งานได้เลย แม้แต่ตู้เย็นก็มีสิ่งของเน่าเสียอยู่ภายในตู้ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้า เตาแก๊สหมดมานานกว่า 5 เดือน ตู้น้ำเย็นก็ใช้งานไม่ได้ เครื่องซักผ้าถูกนำสายไฟของตัวเครื่องซุกซ่อนเข้าไว้ภายในบ้านของหลานสาว โดยลอดผ่านบริเวณหน้าต่างบานเกล็ด จึงทำให้ยายสุภานีไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังได้พบกับนางกมลทิพท์ เดชามาตย์ เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านหลังติดกัน พร้อมกับยายสุภานี โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางกมลทิพย์ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า หลานสาวยายสุภานี บอกว่ามีคนโทรศัพท์ไปข่มขู่ให้ลูกสาวของยายโอนเงินมาให้มีจริงหรือไม่ นางกมลทิพย์ได้เล่าว่า คนที่คุณสุปราณี หรือจุ๋ม พูดถึง คือ เธอเอง ซึ่งขอชี้แจงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตนอยู่ในเหตุการณ์หลายครั้ง เพราะบ้านอยู่ติดกัน
นางกมลทิพย์ ได้เล่าให้ฟังอีกว่า ยายสุภานี มาอยู่กับหลานสาวคนนี้ได้ประมาณ 7 เดือนแล้ว ช่วงที่มาอยู่ใหม่ๆ หลานสาวคนนี้ก็ดูแลเป็นอย่างดี แต่เมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งตอนแรกตนเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพื่อนบ้านมาบอกว่า ยายไปขโมยของหลานสาวอีกคน ซึ่งเป็นพี่สาวของคุณจุ๋มที่อยู่สุโขทัย ซึ่งคุณยายไปอยู่ด้วยก่อนหน้านี้ 1 ปี เธอก็ได้มาถามยายสุภานี ว่า ได้ขโมยของหลานสาวมาจริงหรือไม่ ยายสุภานีก็บอกว่า ไม่ได้ขโมย หากขโมยคงไม่มาอยู่ให้เขาด่าว่าแบบนี้
หลังจากนั้น เธอก็เห็นหลานสาวเริ่มไม่สนใจ และต่อว่ายายสุภานี ด้วยคำพูดที่เสียๆ หายๆ เรื่อยมา จนกระทั่งวันที่เกิดเหตุยายสุภานีได้ร้องให้มาหาที่บ้านแล้วบอกว่า ให้ไปพูดกับคุณจุ๋มหน่อย เธอก็สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณจุ๋มได้ตะโกนด่ากลับมาว่า อย่ามาเสือก ซึ่งตนก็ได้บอกว่า อันที่จริงเธอก็ไม่อยากเข้ามายุ่งหรอก แต่สงสารยายสุภานี ที่ร้องให้มาหา และข้าวก็ไม่ได้กิน แต่สุดท้ายเธอก็ถูกคุณจุ๋ม ต่อว่าจนต้องถอยกลับมา
ส่วนสาเหตุที่หลานสาว (คุณจุ๋ม) โกรธยายสุภานี ก็เพราะเชื่อว่าไปขโมยของพี่สาว หลังจากนั้น ก็ปล่อยให้ยายอยู่ตามลำพัง โดยไม่ซื้ออาหารการกินมาให้ จนกระทั่งเดือนที่ผ่านมา หลานสาวยายสุภานีได้บอกกับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งว่า จะให้ยายสุภานี ออกจากบ้านในสิ้นเดือนนี้ และก็ไม่ยอมไปชำระค่าน้ำค่าไฟ จนทางเจ้าหน้าที่มาตัดไฟ
แต่ชาวบ้านเห็นว่า บ้านที่ยายสุภานีอาศัยอยู่เสียค่าน้ำค่าไฟไม่มาก จึงได้ช่วยกันชำระให้ จนเจ้าหน้าที่จึงไม่ตัด ส่วนบ้านอีกหนึ่งหลังซึ่งหลานสาวอยู่ก็ถูกตัดไฟไป
ส่วนเรื่องที่หลานสาวยายสุภานี บอกว่า ที่ผ่านมาได้มีคนโทรศัพท์ไปข่มขู่ให้โอนเงินมาให้นั้น เธอขอบอกว่า วันที่ยายสุภานีมาหาและบอกว่าไม่มีเงินเลย ไม่ได้กินข้าว เธอรู้สึกสะท้อนใจเป็นอย่างมาก จึงขอให้ยายบอกเบอร์โทรศัพท์ลูกหลานให้ เพื่อจะได้โทรศัพท์ไปบอกให้มารับยายกลับบ้าน จากนั้นเธอก็โทรศัพท์ไปถึงลูกสาวที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตส แต่ก็ไม่พบ ซึ่งภายหลังเขาได้ส่งข้อความมาว่าอยู่เซี่ยงไฮ้ เธอจึงฝากข้อความไว้กับคนใช้ที่ชื่อ “นุช” เพื่อให้บอกกับลูกสาวยายสุภานี ว่า
“ขอให้ช่วยบอกคุณเทซี่ หน่อยว่า ตอนนี้คุณแม่ คือ ยายสุภานี ลำบากมากไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน ยังไงก็ส่งเงินมาให้คุณแม่หน่อย อย่างน้อยก็เพื่อให้คุณแม่มีไว้ซื้อข้าวปลาอาหาร แต่คนรับใช้กลับบอกว่า ต้องรอให้ลูกสาวคุณยายอารมณ์ดีก่อน ถึงจะบอกให้ได้ เรื่องก็มีเท่านี้”
หลังจากนั้น ลูกสาวยายสุภานีก็ได้โทรศัพท์กลับมาหาตนเองและบอกว่า “คนรับใช้บอกว่า คุณข่มขู่ให้โอนเงินให้ 5,000 บาท ฉันจะฟ้องคุณในข้อหากรรโชกทรัพย์ พวกคุณมันพวก 18 มงกุฎ” เธอจึงบอกว่า คุณเทซี่ คุณพูดเกินไป ยังไงให้ฟังความจริงจากปากของแม่คุณ และตนก็ให้ยายสุภานีพูด ซึ่งยายก็ได้ต่อว่าลูกสาวว่า “ไปต่อว่าเขาทำไมเขาให้ข้าวให้น้ำให้ที่อาศัยกับฉัน” ลูกสาวยายสุภานีจึงโบ้ยว่า คนใช้เป็นคนพูด ยายสุภานีก็เลยบอกกับลูกสาวว่า หากเชื่อคนใช้มากกว่าแม่ก็ให้เอาคนใช้เป็นแม่แทนก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ขณะเดียวกัน ยายสุภานียังได้กล่าวว่าถึงกรณีที่หลานสาวระบุว่า ยายติดเหล้าว่า เมื่อก่อนตนมีบาร์ ตนดื่มแน่นอน อยู่กับสามีชาวต่างชาติก็ดื่ม แต่ก็ไม่ได้ติดเหล้า และเวลาดื่มก็ไม่ได้ดื่มแล้วเอะอะโวยวายมีเรื่องมีราวก็ไม่ใช่ แต่หลังจากที่ตนเองไปผ่าตัดตาเมื่อปี 2550 แล้วมีบ้างที่ลูกสาวซื้อไวน์มาดื่มกัน และให้แม่ดื่มบ้างก็เท่านั้น เมื่อมาอยู่กับที่นี่ (กับหลาน) หลานสาวเป็นคนดื่ม เมื่อดื่มก็จะให้เธอดื่มบ้าง แต่ยืนยันว่าไม่ได้ติดเหล้า ทุกวันนี้ก็ไม่เคยดื่ม
“มาอยู่ที่นี่ เงินจะซื้อข้าวกินยังไม่มี แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเหล้ามาดื่ม ส่วนที่บอกว่า เธอไม่เคยมีเงินทองมากมายนั้น ที่ผ่านมาเรื่องราวส่วนตัวดิฉันไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นหลานสาวยังเด็กเล็กๆ อยู่เลย ดิฉันไปอยู่เมืองนอกตั้งสิบกว่าปี เขาไม่เคยรู้ว่า ก่อนหน้านั้นดิฉันแต่งงานกับใคร สามีมีเงินเป็นพันล้าน เมื่อกลับมาเมืองไทยหลานสาวก็อายุ 15-16 ปีแล้ว ดิฉันถามว่าหากดิฉันไม่มีเงินจะมีบาร์ตั้ง 2 แห่ง มีรถยนต์ 3-4 คัน และช่วยเหลือพี่สาวซึ่งก็คือ แม่ของพวกเขา และตัวเขา และหลานๆ คนอื่นๆอีก 8-9 คนได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาก็เคยไปอาศัยดิฉันอยู่สมัยที่ดิฉันเปิดบาร์อยู่พัฒนพงษ์ ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ ทั้งๆ ที่เป็นหลานที่ดิฉันรักมากที่สุด” ยายสุภานี พูดไปร้องให้ไปด้วยด้วยความอึดอัดใจ และพูดว่าอย่าให้ดิฉันเล่าอีกเลย อยากทราบมากกว่านี้ขอให้ไปถามเพื่อนบ้านดูก็แล้วกัน
“ถ้าในสมัยนั้นตนเองไม่มีเงินจริง ก็คงไม่สามารถส่งลูกสาวคนเล็กเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้ ซึ่งในสมัยนั้นค่าเทอมๆ ละ 200,000 บาท หนึ่งปีมีถึง 3 เทอม ตนก็สามารถส่งเสียลูกให้เรียนได้อย่างสบาย”
ยายสุภานี บอกอีกว่า ครั้งหลังสุดที่ตนไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน เธอต้องเอาเสื้อผ้าทรัพย์สินบางส่วนที่ติดตัวมาขายจนหมด ขณะนี้เหลือเสื้อผ้าเพียงสองชุดเท่านั้น ก่อนเกิดเป็นข่าวใหญ่โต เคยนึกถึงว่าอยากจะไปนั่งขอทาน และขอให้นักข่าวที่รู้จักไปช่วยบันทึกภาพ และส่งไปให้ลูกดู เพื่อลูกจะได้มารับกลับบ้านเท่านั้น ไม่นึกว่าจะมีนักข่าวมาทำข่าวมากมาย
แต่เมื่อมาทำข่าวแล้วเธอก็บอกนักข่าวทุกคนว่า อย่าได้เอ่ยถึงคนอื่น เพราะเธอไม่อยากให้ใครเดือดร้อน และเธอก็ขอเพียงเงินคนแก่ที่รัฐโอนให้ในช่วง 2 ปีที่ไม่ได้อยู่บ้านจากลูกเท่านั้น เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไปบวช จึงต้องการนำเงินเหล่านั้นไปซื้อเสื้อผ้าชุดขาว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เพื่อน และคนที่รู้จักเมื่อรู้ข่าวว่าตนจะบวชก็ส่งเงินมาให้ทางไปรษณีย์ จนทำให้เธอได้ซื้อชุดขาวเตรียมไว้หมดแล้ว
อ่านข่าวก่อนหน้านี้ :
1.สลดซ้ำ! สาวแอร์โฮสเตส ลูกอดีตเจ้าแม่พัฒนพงษ์ปฏิเสธเลี้ยงแม่บังเกิดเกล้า
2.อดีตเจ้าแม่พัฒนพงษ์ตกอับ ลูกหลานทิ้งขว้างให้ออกจากบ้านสิ้นเดือนนี้
3.อดีตเจ้าแม่พัฒนพงษ์ก้มหน้ารับกรรม เผยหลังเป็นข่าวถูกลูกโทร.ต่อว่าซ้ำ
4.อดีตเจ้าแม่พัฒนพงษ์ย้อนอดีตยุครุ่งเรือง-เปิด 2 บาร์หรูรับเมมเบอร์ต่างชาติ