ลำปาง-สุดสลด! เศรษฐินีอดีตเจ้าแม่พัฒน์พงศ์ตกอับ ทั้งที่ลูกยังมีชีวิตและฐานะดี เผยต้องออกจากบ้านที่เคยอยู่กับลูกที่ดอนเมือง เพียงเพราะไม่ได้รับโทรศัพท์และเปิดประตูให้ลูกเข้าบ้านกลางดึก แต่พอมาอยู่กับหลานยังถูกทิ้งขว้าง แถมจะให้ออกจากบ้านสิ้นเดือนนี้ ขณะที่แอร์โฮสเตสสาวสายการบินใหญ่ลูกในไส้ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย ไม่ยอมรับเลี้ยงดูแม่บังเกิดเกล้าอีก
วานนี้ (26 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนางกมลนิตย์ เดชามาตย์ ชาวบ้านในหมู่บ้านการเคหะแห่งชาติ ต.พิชัย อ.เมืองลำปางว่า ยายสุภานี ศรีสุภะ อายุ 75 ปี ที่มาอาศัยอยู่กับหลาน แต่สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง แม้แต่ไฟฟ้า น้ำประปา และข้าวปลาอาหาร ก็ไม่ได้สนใจเอามาให้ผู้เป็นยาย ตนต้องเป็นคนคอยเรียกให้มากินข้าวที่บ้านของตน ส่วนน้ำไฟนั้น ชาวบ้านก็ช่วยกันออกเงินให้ แต่ที่สำคัญ คือ ปลายเดือนนี้ หลานสาว ซึ่งยายสุภาณี อาศัยอยู่ด้วยได้ไล่ให้ยายออกจากบ้าน โดยยังไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบ พบกับนางสุภานี หญิงชราผมสั้นขาว แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สวมเสื้อคอกระเช้า กางเกงขาสามส่วนรออยู่ ก่อนที่จะพาไปดูในบ้าน ซึ่งเป็นของหลานสาว และบริเวณที่นอนอยู่ชั้นล่าง มีเพียงเตียง ที่นอนและผ้าห่มเท่านั้น
ยายสุภานี ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 40 กว่าปีก่อนได้แต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ เมื่อลูกสาวอายุได้ประมาณ 12 ปี ก็พาลูกสาวกลับประเทศไทย หลังจากนั้น ตนได้มาเปิดบาร์ในย่านพัฒน์พงศ์ การทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง รายได้ดีมาก จนมีคนตั้งฉายาให้กับตนเองว่า "เจ้าแม่พัฒน์พงศ์" แต่เมื่อลูกสาวเริ่มโตขึ้น ตนจึงเห็นว่าการทำธุรกิจดังกล่าวไม่ค่อยเหมาะสม เพราะตนก็มีลูกสาว จึงได้เลิกทำแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไป
หลังจากนั้นได้ซื้อบ้านหลายแห่ง แต่สุดท้ายมาซื้อบ้านในโครงการพัฒนาที่ดินแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกเบี้ยว โครงการล้ม เจ้าของหนี สูญเงินไปกว่าสิบล้านบาท แต่ก็ยังมีเงินอยู่ จึงได้ไปซื้อบ้านที่อาศัยอยู่กับลูก ครั้งล่าสุดที่หมู่บ้านแถวดอนเมือง มูลค่าร่วม 8 ล้านบาท ซึ่งก็อาศัยอยู่กับลูกและหลานอีกหนึ่งคน
จนปี 2553 ก่อนเกิดเหตุที่ตนจำได้ คือ เย็นวันพฤหัสฯ ลูกสาวได้บอกตนว่าจะพาลูกออกไปขี่ม้าแล้วบินไปต่างประเทศจะกลับมาในวันอาทิตย์ให้แม่ปิดประตูให้สนิท หากมีโทรศัพท์มาก็ไม่ต้องรับ เพราะแม่แก่แล้ว ตนก็ทำตาม แต่ทว่าเวลาประมาณ 22.00 น. ของคืนวันพฤหัสฯ ขณะตนนอนหลับ ลูกสาวกลับบ้านมาเรียก แต่ตนไม่ได้ยิน แต่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่ด้วยความที่ลูกสาวสั่งไว้ว่าไม่ต้องรับตนจึงไม่รับโทรศัพท์
จนกระทั่ง 03.00 น. ตนเห็นว่าเสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุดจึงเดินออกมารับ ปรากฏว่า เพื่อนของลูกสาวบอกว่าลูกสาวรออยู่หน้าบ้านตั้งแต่ 4 ทุ่มแล้ว ทำไมไม่เปิดประตูให้ลูก ตนจึงบอกว่า ตนไม่รู้และรีบลงไปเปิดประตู เมื่อลูกเห็นตนเปิดประตู ลูกก็พูดว่าทำไมไม่เปิดประตูให้แล้วก็เดินเข้าบ้าน หลังจากนั้นลูกสาวก็เปลี่ยนไป คือ ไม่ยอมพูดจา ไม่สนใจใยดีอะไรกับตนอีกเลย
หลังจากนั้นอีกกว่า 4 เดือน ตนรู้สึกอึดอัด เมื่อหลานสาวโทรศัพท์มาหาตนจึงเล่าเรื่องให้ฟัง หลานสาวจึงบอกให้ตนไปอยู่ด้วย ตนจึงตัดสินใจออกจากบ้านลูกสาว โดยขอให้หลานขับรถไปรับ ซึ่งตนไม่ได้เอาทรัพย์สินอะไรติดตัวออกมาเลย เพราะคิดว่าลูกคงมาตามกลับบ้าน แต่สุดท้ายลูกก็ไม่สนใจใยดีตนเองเลย
เมื่อตนมาอยู่กับหลานสาวคนแรก ก็ได้ช่วยงานบ้านทุกอย่าง แต่สุดท้ายหลานสาว ก็ขอให้ไปอยู่กับหลานอีกคนหนึ่งที่ลำปาง ซึ่งเป็นบ้านที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน แต่จู่ๆ หลานสาวก็บอกว่า พี่สาว คือ หลานคนแรกไม่อยากให้อยู่แล้ว และขอให้ออกจากบ้านไปในสิ้นเดือนนี้ ส่วนตัวเองก็ไปอยู่ต่างอำเภอกับครอบครัว โดยปล่อยทิ้งให้ตนอยู่ตามลำพังมาร่วม 4 เดือนแล้ว น้ำประปา ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ก็มาตัด เพื่อนบ้านสงสารจึงช่วยกันออกเงินชำระค่าน้ำ ค่าไฟให้ ส่วนอาหารเพื่อนบ้านก็จะเรียกให้ไปกิน
เมื่อถามถึงลูก ยายสุภานีได้เล่าด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า ไม่อยากพูดถึง เขาด่าว่า แม่สารพัด หากเขาอยากทิ้งก็ปล่อยให้ทิ้งไป ตนก็จะตัดขาดความเป็นแม่ลูกเช่นกัน แต่ตนอยากให้เขาส่งเงินเบี้ยยังชีพคนชราที่ลูกสาวเป็นผู้รับมาโดยตลอดมาให้ด้วย ส่งมาให้เท่าไรก็ได้ ตนจะนำไปซื้อสิ่งของเพื่อจะไปบวช และไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ต่อมาช่วงบ่าย นายพรนิมิตร สายเทพ ปลัดอำเภอเมืองลำปาง นายชัยวัฒน์ นันต๊ะกูล ปลัด อบต.พิชัย นางสุชาดา ตุลาพันธ์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านต้นมื่น ม.14 ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง และนางคนึงนิจ อาลัยญาติ เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมชำนาญงานศูนย์ผู้สูงอายุ จ.ลำปาง ได้เข้าตรวจสอบและสอบถามยายสุภานี ที่บ้านของเพื่อนบ้านในหมู่บ้านการเคหะแห่งชาติ ต.พิชัย
พร้อมกันนั้น นายชัยวัฒน์ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกสาวของยายสุภานี ซึ่งมีอาชีพเป็นถึงแอร์โฮสเตสสายการบินใหญ่แห่งหนึ่ง โดยสอบถามว่า ทราบหรือไม่ที่คุณแม่มาอยู่ที่ลำปาง ลูกสาวยายสุภานีได้บอกว่า ทราบ และรู้ว่าไปอยู่กับหลานสาว
เมื่อปลัด อบต.พิชัย บอกว่า ตอนนี้คุณยายอยู่คนเดียว หลานสาวไปอยู่ต่างอำเภอ และปล่อยให้คุณยายอยู่ลำพังโดยไม่มีคนดูแล แต่ลูกสาวก็ปฏิเสธ และบอกเพียงว่า เมื่อแม่ตัดสินออกจากบ้านไปแล้ว ก็คือ ออกไปเลย คงไม่เลี้ยงดูอะไรกันอีก เมื่อแม่มีลูกหลายคนก็ให้คนอื่นเลี้ยงก็แล้วกัน
ทั้งนี้ ลูกสาวของยายสุภานี ไม่ได้แสดงท่าทีใยดีหรือมีความเป็นห่วงเป็นใยแม่ของตนเอง หรือต้องการที่จะเลี้ยงดู แต่อย่างใด นอกจากนี้ ลูกสาวของยายสุภานี ยังบอกอีกว่าหากทางเจ้าหน้าที่ต้องการช่วย ก็ให้เอาไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์ก็เอาไป อย่างไรก็ตาม เมื่อปลัด อบต.พิชัย สอบถามถึงเรื่องเงินเบี้ยยังชีพที่ทางรัฐบาลมอบให้กับผู้สูงอายุว่า เงินดังกล่าว กทม.ได้โอนเข้าบัญชีใคร ลูกสาวยายสุภานี ได้ตอบว่า โอนเข้าบัญชีเธอเอง
ปลัดฯ จึงได้ขอร้องว่า หากเป็นเช่นนั้น เมื่อจะไม่ดูแลแม่ของตนเองแล้ว ก็ขอให้โอนเงินเบี้ยผู้สูงอายุมาให้แม่ได้หรือไม่ โดย อบต.พิชัย จะเป็นผู้พายายสุภานี ไปเปิดบัญชี แต่ลูกสาวของอดีตเจ้าแม่ย่านพัฒน์พงศ์ ก็ไม่ยินยอม โดยบอกว่า หากอยากได้ก็ให้แม่ไปทำเรื่องที่ราชการเอง
ทั้งนี้ แม้ทางปลัด อบต.พิชัย จะเกลี่ยกล่อม แต่สุดท้ายลูกสาวของยายสุภานี ก็ยังยืนกรานว่าจะไม่รับเลี้ยงดูคุณแม่เหมือนเดิม จนทำให้ปลัดฯ ไม่รู้ว่าจะพูดเกลี่ยกล่อมอย่างไร จึงได้แต่ยุติการสนทนาทางโทรศัพท์ไป
หลังจากที่ยุติการติดต่อประสานงานกับลูกสาวของยายสุภานีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ปรึกษาหารือกันนานเกือบสองชั่วโมง จนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่า เบื้องต้นก่อนสิ้นเดือนนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะนำตัวคุณยายไปพักอยู่ที่ศูนย์สงเคราะห์ผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง เป็นการชั่วคราวก่อน หลังจากนั้น หากยายสุภานี ยังประสงค์จะไปบวชชี ก็จะพาไปบวชที่วัดหาดเชี่ยว ตามความต้องการต่อไป
ส่วนเรื่องเบี้ยยังชีพ ทาง อบต.พิชัย จะได้ประสานงานไปยังแขวงบางแค เพื่อหาวิธีเปลี่ยนแปลงการโอนเงินจากที่เคยโอนเข้าบัญชีลูกสาว ให้โอนเข้าบัญชีของนางสุภานี โดยตรง หรือบัญชีเจ้าหน้าที่ ที่จะมีการมอบหมายให้ดูแลต่อไป
วานนี้ (26 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนางกมลนิตย์ เดชามาตย์ ชาวบ้านในหมู่บ้านการเคหะแห่งชาติ ต.พิชัย อ.เมืองลำปางว่า ยายสุภานี ศรีสุภะ อายุ 75 ปี ที่มาอาศัยอยู่กับหลาน แต่สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง แม้แต่ไฟฟ้า น้ำประปา และข้าวปลาอาหาร ก็ไม่ได้สนใจเอามาให้ผู้เป็นยาย ตนต้องเป็นคนคอยเรียกให้มากินข้าวที่บ้านของตน ส่วนน้ำไฟนั้น ชาวบ้านก็ช่วยกันออกเงินให้ แต่ที่สำคัญ คือ ปลายเดือนนี้ หลานสาว ซึ่งยายสุภาณี อาศัยอยู่ด้วยได้ไล่ให้ยายออกจากบ้าน โดยยังไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบ พบกับนางสุภานี หญิงชราผมสั้นขาว แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สวมเสื้อคอกระเช้า กางเกงขาสามส่วนรออยู่ ก่อนที่จะพาไปดูในบ้าน ซึ่งเป็นของหลานสาว และบริเวณที่นอนอยู่ชั้นล่าง มีเพียงเตียง ที่นอนและผ้าห่มเท่านั้น
ยายสุภานี ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 40 กว่าปีก่อนได้แต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ เมื่อลูกสาวอายุได้ประมาณ 12 ปี ก็พาลูกสาวกลับประเทศไทย หลังจากนั้น ตนได้มาเปิดบาร์ในย่านพัฒน์พงศ์ การทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง รายได้ดีมาก จนมีคนตั้งฉายาให้กับตนเองว่า "เจ้าแม่พัฒน์พงศ์" แต่เมื่อลูกสาวเริ่มโตขึ้น ตนจึงเห็นว่าการทำธุรกิจดังกล่าวไม่ค่อยเหมาะสม เพราะตนก็มีลูกสาว จึงได้เลิกทำแล้วกลับมาใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทั่วไป
หลังจากนั้นได้ซื้อบ้านหลายแห่ง แต่สุดท้ายมาซื้อบ้านในโครงการพัฒนาที่ดินแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกเบี้ยว โครงการล้ม เจ้าของหนี สูญเงินไปกว่าสิบล้านบาท แต่ก็ยังมีเงินอยู่ จึงได้ไปซื้อบ้านที่อาศัยอยู่กับลูก ครั้งล่าสุดที่หมู่บ้านแถวดอนเมือง มูลค่าร่วม 8 ล้านบาท ซึ่งก็อาศัยอยู่กับลูกและหลานอีกหนึ่งคน
จนปี 2553 ก่อนเกิดเหตุที่ตนจำได้ คือ เย็นวันพฤหัสฯ ลูกสาวได้บอกตนว่าจะพาลูกออกไปขี่ม้าแล้วบินไปต่างประเทศจะกลับมาในวันอาทิตย์ให้แม่ปิดประตูให้สนิท หากมีโทรศัพท์มาก็ไม่ต้องรับ เพราะแม่แก่แล้ว ตนก็ทำตาม แต่ทว่าเวลาประมาณ 22.00 น. ของคืนวันพฤหัสฯ ขณะตนนอนหลับ ลูกสาวกลับบ้านมาเรียก แต่ตนไม่ได้ยิน แต่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่ด้วยความที่ลูกสาวสั่งไว้ว่าไม่ต้องรับตนจึงไม่รับโทรศัพท์
จนกระทั่ง 03.00 น. ตนเห็นว่าเสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุดจึงเดินออกมารับ ปรากฏว่า เพื่อนของลูกสาวบอกว่าลูกสาวรออยู่หน้าบ้านตั้งแต่ 4 ทุ่มแล้ว ทำไมไม่เปิดประตูให้ลูก ตนจึงบอกว่า ตนไม่รู้และรีบลงไปเปิดประตู เมื่อลูกเห็นตนเปิดประตู ลูกก็พูดว่าทำไมไม่เปิดประตูให้แล้วก็เดินเข้าบ้าน หลังจากนั้นลูกสาวก็เปลี่ยนไป คือ ไม่ยอมพูดจา ไม่สนใจใยดีอะไรกับตนอีกเลย
หลังจากนั้นอีกกว่า 4 เดือน ตนรู้สึกอึดอัด เมื่อหลานสาวโทรศัพท์มาหาตนจึงเล่าเรื่องให้ฟัง หลานสาวจึงบอกให้ตนไปอยู่ด้วย ตนจึงตัดสินใจออกจากบ้านลูกสาว โดยขอให้หลานขับรถไปรับ ซึ่งตนไม่ได้เอาทรัพย์สินอะไรติดตัวออกมาเลย เพราะคิดว่าลูกคงมาตามกลับบ้าน แต่สุดท้ายลูกก็ไม่สนใจใยดีตนเองเลย
เมื่อตนมาอยู่กับหลานสาวคนแรก ก็ได้ช่วยงานบ้านทุกอย่าง แต่สุดท้ายหลานสาว ก็ขอให้ไปอยู่กับหลานอีกคนหนึ่งที่ลำปาง ซึ่งเป็นบ้านที่ตนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน แต่จู่ๆ หลานสาวก็บอกว่า พี่สาว คือ หลานคนแรกไม่อยากให้อยู่แล้ว และขอให้ออกจากบ้านไปในสิ้นเดือนนี้ ส่วนตัวเองก็ไปอยู่ต่างอำเภอกับครอบครัว โดยปล่อยทิ้งให้ตนอยู่ตามลำพังมาร่วม 4 เดือนแล้ว น้ำประปา ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ก็มาตัด เพื่อนบ้านสงสารจึงช่วยกันออกเงินชำระค่าน้ำ ค่าไฟให้ ส่วนอาหารเพื่อนบ้านก็จะเรียกให้ไปกิน
เมื่อถามถึงลูก ยายสุภานีได้เล่าด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า ไม่อยากพูดถึง เขาด่าว่า แม่สารพัด หากเขาอยากทิ้งก็ปล่อยให้ทิ้งไป ตนก็จะตัดขาดความเป็นแม่ลูกเช่นกัน แต่ตนอยากให้เขาส่งเงินเบี้ยยังชีพคนชราที่ลูกสาวเป็นผู้รับมาโดยตลอดมาให้ด้วย ส่งมาให้เท่าไรก็ได้ ตนจะนำไปซื้อสิ่งของเพื่อจะไปบวช และไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ต่อมาช่วงบ่าย นายพรนิมิตร สายเทพ ปลัดอำเภอเมืองลำปาง นายชัยวัฒน์ นันต๊ะกูล ปลัด อบต.พิชัย นางสุชาดา ตุลาพันธ์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านต้นมื่น ม.14 ต.พิชัย อ.เมืองลำปาง และนางคนึงนิจ อาลัยญาติ เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมชำนาญงานศูนย์ผู้สูงอายุ จ.ลำปาง ได้เข้าตรวจสอบและสอบถามยายสุภานี ที่บ้านของเพื่อนบ้านในหมู่บ้านการเคหะแห่งชาติ ต.พิชัย
พร้อมกันนั้น นายชัยวัฒน์ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับลูกสาวของยายสุภานี ซึ่งมีอาชีพเป็นถึงแอร์โฮสเตสสายการบินใหญ่แห่งหนึ่ง โดยสอบถามว่า ทราบหรือไม่ที่คุณแม่มาอยู่ที่ลำปาง ลูกสาวยายสุภานีได้บอกว่า ทราบ และรู้ว่าไปอยู่กับหลานสาว
เมื่อปลัด อบต.พิชัย บอกว่า ตอนนี้คุณยายอยู่คนเดียว หลานสาวไปอยู่ต่างอำเภอ และปล่อยให้คุณยายอยู่ลำพังโดยไม่มีคนดูแล แต่ลูกสาวก็ปฏิเสธ และบอกเพียงว่า เมื่อแม่ตัดสินออกจากบ้านไปแล้ว ก็คือ ออกไปเลย คงไม่เลี้ยงดูอะไรกันอีก เมื่อแม่มีลูกหลายคนก็ให้คนอื่นเลี้ยงก็แล้วกัน
ทั้งนี้ ลูกสาวของยายสุภานี ไม่ได้แสดงท่าทีใยดีหรือมีความเป็นห่วงเป็นใยแม่ของตนเอง หรือต้องการที่จะเลี้ยงดู แต่อย่างใด นอกจากนี้ ลูกสาวของยายสุภานี ยังบอกอีกว่าหากทางเจ้าหน้าที่ต้องการช่วย ก็ให้เอาไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์ก็เอาไป อย่างไรก็ตาม เมื่อปลัด อบต.พิชัย สอบถามถึงเรื่องเงินเบี้ยยังชีพที่ทางรัฐบาลมอบให้กับผู้สูงอายุว่า เงินดังกล่าว กทม.ได้โอนเข้าบัญชีใคร ลูกสาวยายสุภานี ได้ตอบว่า โอนเข้าบัญชีเธอเอง
ปลัดฯ จึงได้ขอร้องว่า หากเป็นเช่นนั้น เมื่อจะไม่ดูแลแม่ของตนเองแล้ว ก็ขอให้โอนเงินเบี้ยผู้สูงอายุมาให้แม่ได้หรือไม่ โดย อบต.พิชัย จะเป็นผู้พายายสุภานี ไปเปิดบัญชี แต่ลูกสาวของอดีตเจ้าแม่ย่านพัฒน์พงศ์ ก็ไม่ยินยอม โดยบอกว่า หากอยากได้ก็ให้แม่ไปทำเรื่องที่ราชการเอง
ทั้งนี้ แม้ทางปลัด อบต.พิชัย จะเกลี่ยกล่อม แต่สุดท้ายลูกสาวของยายสุภานี ก็ยังยืนกรานว่าจะไม่รับเลี้ยงดูคุณแม่เหมือนเดิม จนทำให้ปลัดฯ ไม่รู้ว่าจะพูดเกลี่ยกล่อมอย่างไร จึงได้แต่ยุติการสนทนาทางโทรศัพท์ไป
หลังจากที่ยุติการติดต่อประสานงานกับลูกสาวของยายสุภานีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ปรึกษาหารือกันนานเกือบสองชั่วโมง จนสุดท้ายได้ข้อสรุปว่า เบื้องต้นก่อนสิ้นเดือนนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะนำตัวคุณยายไปพักอยู่ที่ศูนย์สงเคราะห์ผู้สูงอายุจังหวัดลำปาง เป็นการชั่วคราวก่อน หลังจากนั้น หากยายสุภานี ยังประสงค์จะไปบวชชี ก็จะพาไปบวชที่วัดหาดเชี่ยว ตามความต้องการต่อไป
ส่วนเรื่องเบี้ยยังชีพ ทาง อบต.พิชัย จะได้ประสานงานไปยังแขวงบางแค เพื่อหาวิธีเปลี่ยนแปลงการโอนเงินจากที่เคยโอนเข้าบัญชีลูกสาว ให้โอนเข้าบัญชีของนางสุภานี โดยตรง หรือบัญชีเจ้าหน้าที่ ที่จะมีการมอบหมายให้ดูแลต่อไป