ลำปาง - อดีต “นายกสบป้าด” วอนขอความเป็นธรรมหลังถูกศาลพิพากษาจำคุก 6 ปีไม่รอลงอาญา ฐานยักยอกเงินค่าจ้างรถไถ อบต.ยันไม่เคยจับเงิน และพร้อมเดินหน้าลงสมัครนายกเล็กต่อสมัยที่ 3 มั่นใจได้กลับมาอย่างแน่นอน
ตามที่ศาลจังหวัดลำปางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 55 ให้จำคุกนายสุนทร ใจแก้ว นายก อบต.สบป้าด อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง รวม 3 ข้อหา คือ ยักยอกทรัพย์, เป็นเจ้าหน้าที่ประพฤติโดยมิชอบ และละเลยต่อหน้าที่ ข้อหาละ 2 ปี รวมเป็นเวลา 6 ปีไม่รอลงอาญา โดยเจ้าตัวได้ใช้หลักทรัพย์มูลค่าสามแสนบาทประกันตัวพร้อมให้ทนายความยื่นอุทธรณ์ต่อแล้วนั้น
ล่าสุดนายสุนทรได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวท้องถิ่นของจังหวัดลำปางเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนอยากจะเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้พี่น้องในตำบลสบป้าด และชาวลำปางที่อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือได้ดูจากสื่อบางสื่อซึ่งนำเสนอเฉพาะคำพิพากษาของศาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้สอบถามข้อเท็จจริงจากตนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรเท่านั้น
นายสุนทรเล่าว่า เดิมตน ซึ่งได้ร่วมต่อสู้กับประชาชนมาโดยตลอดร่วม 12 ปีเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิต่างๆ จากหน่วยงานที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จนประชาชนยอมรับและเมื่อตนลงสมัครในปี 2548 ประชาชนได้ให้ความไว้วางใจเลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายก อบต.สบป้าด แม้จะมีคู่แข่งถึง 5 คน ซึ่งในสมัยที่ 2 ตนก็ได้รับเลือกเข้ามาอีก
แต่ทว่าการทำงานในสภาไม่ได้ง่ายดายเนื่องจากมีการแบ่งฝ่ายกันมาตลอด โดยเฉพาะกับประธานสภา ทำให้การทำงานของตนติดขัด การขออนุมัติงบประมาณเพื่อทำโครงการใหญ่ต่างๆ ประธานสภา สมาชิก ไม่รับหลักการ แต่ตนก็ยังยืนหยัดและอดทนทำงานให้ประชาชนมาโดยตลอด จนกระทั่งประธานสภา และสมาชิกบางส่วนได้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ เกี่ยวกับการทำงานของตน ซึ่งสุดท้าย ป.ป.ช.ไม่ได้ชี้มูลความผิด ตนจึงเห็นว่าประธานสภาและสมาชิกกลุ่มดังกล่าวกระทำตัวเป็นปรปักษ์กับฝ่ายบริหาร เมื่อมีการทำหนังสือขออนุเคราะห์รถไถของ อบต.ไปปรับที่ตนจึงไม่อนุญาตจนกลายเป็นเหตุความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยมา
ซึ่งส่งผลให้การทำงานในสภามีปัญหาตั้งแต่ปี 48 เป็นต้นมา ตนจึงได้ทำหนังสือไปยังอำเภอ กระทรวงมหาดไทย ให้ปลดประธานสภาฯ และสมาชิกบางคนออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการที่ไม่อนุมัติโครงการในบางเรื่องทำให้ประชาชนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้แล้ว ตนยังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางให้รองนายก อบต.สบป้าด จำนวน 2 คน ออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามนโยบาย
หลังจากนั้น ในปี 48 นายม่อน หนิ้วยิ่น ราษฎรหมู่ 1 ที่มาขอความอนุเคราะห์รถไถฟาร์มไปปรับที่ดิน ซึ่งตนได้แทงในหนังสือว่าให้อนุเคราะห์ เมื่อเสร็จงานนายม่อนได้ให้เงินเป็นค่าสินน้ำใจ และค่าอาหารแก่พนักงาน 400 บาท ซึ่งก็คล้ายกับกรณีของนายอนันต์ เนียมทอง ชาวบ้านหมู่ที่ 6 ต.สมป้าด ได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์รถไถฟาร์มของ อบต.สบป้าด เพื่อไปปรับไร่ยางพาราเป็นเวลาสองวัน หลังเสร็จงานนายอนันต์ได้ให้เงินจำนวน 2,400 บาทแก่นายดำรงเกียรติ ใจนาบุตร รองนายกคนที่ 2 โดยเงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ค่าจ้างแต่เป็นค่าสินน้ำใจและค่าอาหาร ซึ่งขณะนั้นตนอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากที่รองนายกคนที่ 2 ได้รับเงินแล้วก็นำเงินไปให้นายธวัส เทศกาล รองนายกคนที่ 1 และได้แจ้งให้ตนทราบเท่านั้น
จนกระทั่งมีการประชุมสภา นายอำนวย ทาสุวรรณ ประธานสภา จึงได้สอบถามตนว่าเงินค่ารถไถได้นำเข้าคลังหรือยัง ซึ่งตนได้บอกว่าไม่ใช่เงินภาษีและเป็นเงินที่ชาวบ้านให้มาเป็นค่าอาหารแก่พนักงาน และก็ยังได้ไม่ครบจึงไม่สามารถเอาเข้าคลังได้ ทำให้ต่อมาประธานสภาและสมาชิกบางส่วนนำเรื่องดังกล่าวร้องไปยัง ป.ป.ช.ว่า ตนยักยอกเงินและนำทรัพย์สินของ อบต.ไปแสวงหาประโยชน์จน ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้ สภ.แม่เมาะ ดำเนินการสอบสวนและส่งให้อัยการฟ้อง พร้อมๆ กับทางอำเภอได้แจ้งให้ตนนำเงินจำนวน 2,800 บาทเข้าคลัง ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงทางอำเภอว่าตนไม่ได้ทุจริต ไม่ได้เอาเงินจำนวนดังกล่าวไป
และในวันประชุมสภาตนได้สอบถามปลัด อบต.ว่าเมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเราไม่ได้นำเข้าคลัง เนื่องจากไม่ใช่ภาษี ก็ให้นำไปซื้ออาหารมารับประทานในวันประชุมวันนั้น ซึ่งก็มีประธานสภา สมาชิก 14 คน พร้อมเจ้าหน้าที่อีก 30 คน ได้รับประทานอาหารจากเงินจำนวนดังกล่าวด้วย
กระทั่งวันที่ 22 ส.ค. 55 ศาลจังหวัดลำปางได้นัดฟังคำพิพากษา และได้อ่านคำพิพากษาตัดสินว่าตนมีความผิดจริงตามพยานหลักฐานในความผิดอาญาข้อหายักยอกทรัพย์ เป็นเจ้าหน้าที่ประพฤติโดยมิชอบและละเลยต่อหน้าที่ ให้ลงโทษจำคุกต่างกรรมต่างวาระ กระทงละ 2ปี รวม 6 ปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งตนได้ยื่นขอประกันตัวด้วยหลักทรัพย์จำนวน 300,000 บาท และให้ทนายความยื่นอุทธรณ์ต่อ
จากเรื่องทั้งหมดตนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้รับเงินหรือนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ส่วนตัว การให้ประชาชนนำทรัพย์สินของทางราชการไปใช้ก็ให้ความอนุเคราะห์ทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ และตนก็ไม่เคยต้องโทษในคดีอุกฉกรรจ์ใดๆ ข้อหาดังกล่าวทำไมถึงพิพากษาโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งตนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย แต่ทั้งนี้ตนก็ยอมรับในการตัดสินและจะขอต่อสู้ในชั้นศาลต่อไปให้ถึงที่สุด
ส่วนการเลือกตั้งซึ่งจะมีการสมัครในวันที่ 3 ก.ย. 55 ที่จะถึงนี้ตนพร้อมจะลงสู้ต่อ และมีความเชื่อมั่นว่าจะได้กลับเข้ามาเป็นนายก อบต.สบป้าด เป็นสมัยที่ 3 อย่างแน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาตนต่อสู้ร่วมกับประชาชนมาโดยตลอด ต่อสู้เรียกร้องสิทธิต่างๆ ให้คนสบป้าดและคนแม่เมาะมาอย่างต่อเนื่อง และตนก็ได้ประกาศร่วมต่อสู้พร้อมจะตายแทนประชาชนได้ แต่กลับมาถูกพิพากษาโดยไม่รอลงอาญาแบบนี้ตนก็อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองบ้าง ซึ่งก็คงอยู่ที่ความเมตตาจากศาลในชั้นอุทธรณ์ที่จะพิจารณาต่อไป
