ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ตร.พะเยารวบหนุ่มนครปฐมขนยาบ้า 56,000 เม็ดซุกรถฟอร์จูนเนอร์เตรียมขายลูกค้าภาคกลาง แจงรับยาจากแม่สายก่อนนำส่งลูกค้า ทำมาแล้ว 4 รอบผ่านฉลุยแต่รอบ5 ไม่รอดโดนตำรวจจับได้ “สุเทพ” ระบุตัวเลขคนภาคกลาง-คนมีการศึกษาหันมารับขนยาเพิ่มเหตุรายได้ดี ชี้เจ้าหน้าที่ต้องศึกษาข้อมูลหาทางป้องกัน เผยมีเพื่อนร่วมแก๊งเป็นตัวประกันอยู่กับกลุ่มผู้ค้ายาอีกหนึ่งยังไม่รู้ชะตากรรม
วันนี้ (20 ส.ค.55) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พ.ต.อ.นิธิพัฒน์ พัฒนถาบุตร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา และ พ.ต.อ.บัญญัติ เนตรสุวรรณ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองพะเยา แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคดีลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนประมาณ 56,000 เม็ด ในพื้นที่จังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา
การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจยานพาหนะแม่ต๋ำ ตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา สามารถจับกุมตัวนายชัยวัฒน์ น้อยทา อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 หมู่ 30 ตำบลสรสี่มุม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม พร้อมของกลางยาบ้านจำนวนประมาณ 56,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในแผงใต้ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้ารถ และบริเวณฝาปิดท้ายรถโตโยต้ารุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน ญณ 8242 กรุงเทพมหานคร หลังจากที่ได้รับรายงานจากสายลับว่าจะมีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดทำการลำเลียงยาบ้าผ่านเส้นทางดังกล่าวเพื่อนำไปจำหน่ายในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้จากการตรวจปัสสาวะของนายชัยวัฒน์ยังพบว่ามีผลเป็นบวกอีกด้วย
จากการสอบสวนนายชัยวัฒน์ให้การว่า ได้นัดหมายรับยาบ้าดังกล่าวมาจากกลุ่มผู้ค้าชาวไทยใหญ่ที่โรงแรมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก่อนจะทำการซุกซ่อนไว้ภายในรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ซึ่งเป็นของพี่สาวของเพื่อน ก่อนจะออกเดินทางโดยมีเป้าหมายจะนำยาบ้าไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ที่จังหวัดพะเยาเสียก่อน นอกจากนี้นายชัยวัฒน์ยังให้การเพิ่มเติมว่าเคยทำการลักลอบขนส่งยาบ้าในลักษณะนี้รวม 5 ครั้ง โดยจะทำการขนยาบ้าครั้งละประมาณ 5-6 หมื่นเม็ด ได้ค่าจ้างครั้งละประมาณ 3 แสนบาท และมีนายโจเป็นผู้จ้างวาน ซึ่งตลอด 4 ครั้งที่ผ่านมาสามารถเล็ดรอดผ่านการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้ แต่ในครั้งที่ 5 นี้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นและจับกุมได้ในที่สุด
พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่าว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า สาเหตุที่รับทำงานดังกล่าวเป็นเพราะต้องการนำเงินไปใช้จ่าย โดยเมื่อผู้ต้องหาได้เงินจากการขนยาเสพติดแล้วก็จะหยุดทำงานไปสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งเงินหมดจึงจะมาทำงานใหม่ โดยการขนส่งยาเสพติด 3 ครั้งแรกลงมือในปี 2554 จากนั้นได้หยุดทำงานไประยะหนึ่ง ก่อนะกลับมาลงมืออีกครั้งในปีนี้
จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความสนใจมาก เพราะในปัจจุบันพบว่ากลุ่มผู้ลักลอบขนย้ายยาเสพติดเริ่มเปลี่ยนหน้าจากกลุ่มชาวเขาหรือคนในท้องที่แหล่งผลิตและแหล่งพักยา มาเป็นคนจากพื้นที่ภาคกลาง หรือกลุ่มคนที่มีการศึกษาเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อถูกจับกุมก็จะให้การในลักษณะคล้ายคลึงกันว่าตัดสินใจทำเพราะเห็นว่ารายได้ดี จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องพิจารณาข้อมูลและหาแนวทางในการสกัดกั้นไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับวงจรของการค้ายาเสพติดให้ได้
พล.ต.ท.สุเทพกล่าวต่อไปว่า จากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการสกัดกั้นยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน แม้จะยังคงมียาเสพติดหลุดรอดไปบ้าง แต่จากสถิติการจับกุมและราคายาเสพติดในพื้นที่ส่วนกลางที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าการสกัดกั้นของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือว่าสามารถดำเนินการประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งอย่างไรก็ตามทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพราะยังคงมียาเสพติดจำนวนมากจากโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านที่พร้อมจะนำเข้ามาในประเทศอยู่เสมอ ขณะเดียวกันนอกเหนือจากการสกัดกั้นและปราบปรามแล้ว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังให้ความสำคัญในเรื่องของกสารนำผู้เสพและจำหน่ายเสพติดเข้ารับการบำบัด เพื่อเป็นการแยกผู้ที่หลงผิดออกจากวงจรการค้านชนยาเสพติดอีกทางหนึ่ง
อนึ่ง มีรายงานว่ามีนายชัยวัฒน์ มีเพื่อนร่วมขบวนการอีก 1 คน ได้แก่นายเดช สงพรมทิพย์ ซึ่งถูกกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดควบคุมไว้เป็นตัวประกัน โดยจะถูกปล่อยตัวเมื่อนายชัยวัฒน์สามารถส่งมอบยาเสพติดให้กับลูกค้าและนำเงินมาชำระค่ายาเสพติดเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังประสานกับตำรวจในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อติดตามหาตัวนายเดชมาดำเนินคดีต่อไป