อุดรธานี - กรรมการศึกษาติดตามกระบวนการขออนุญาตประทานบัตรเหมืองโปแตชอุดรฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังชาวบ้านลงชื่อกว่า 5,000 รายยื่นคัดค้านกระบวนการไต่สวนฯ เป็นเท็จและการปักหมุดรังวัดเขตเหมืองไม่ถูกต้อง ด้านเอ็นจีโอจวก กพร.หมกเม็ด หวังดันประทานบัตรช่วยนายทุนเหมืองบริษัทเอพีพีซี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการศึกษาติดตามกระบวนการขออนุญาตประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ได้ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี คำขอประทานบัตรที่ 1-4/2547 ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (เอพีพีซี) ซึ่งครอบคลุม 5 ตำบล ได้แก่ ต.หนองขอนกว้าง ต.โนนสูง ต.หนองไผ่ อ.เมือง ต.นาม่วง และ ต.ห้วยสามพาด อ.ประจักษ์ศิลปาคม โดยมีตัวแทนจากที่ดินจังหวัดเป็นคนกลางร่วมตรวจสอบ และมีชาวบ้านในพื้นที่กว่า 100 คน เข้าร่วมสังเกตการณ์
การลงพื้นที่ครั้งนี้สืบเนื่องจากมีชาวบ้านกว่า 5,000 รายชื่อได้ยื่นโต้แย้ง คัดค้านตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.แร่ 2510 ว่า ข้อมูลสภาพพื้นที่ในใบไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรเป็นเท็จ และการปักหมุดรังวัดเขตคำขอประทานบัตรจำนวน 6 หมุด ครอบคลุมพื้นที่เหมืองกว่า 2.6 หมื่นไร่ไม่ถูกต้อง
การลงพื้นที่ของคณะกรรมการฯ ในครั้งนี้ได้เริ่มต้นด้วยการดูพื้นที่บริเวณรอบหนองนาตาล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีเนื้อที่เกือบ 1,000 ไร่ และเป็นพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่ที่จะทำโรงแต่งแร่ของบริษัทเอพีพีซี หลังจากนั้นคณะกรรมการฯ และกลุ่มชาวบ้านที่ร่วมสังเกตการณ์ได้ตระเวนไปดูหมุดตามจุดต่างๆ ทั้งหมด 6 จุด ปรากฏว่าพบหมุดรังวัดเพียงจุดเดียวเท่านั้น คือริมถนนมิตรภาพอุดร-ขอนแก่น บริเวณหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ที่เหลืออีก 5 จุดไม่พบหมุดรังวัด
นางมณี บุญรอด คณะกรรมการศึกษา ติดตามกระบวนการขออนุญาตประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ได้กล่าวถึงการร่วมลงพื้นที่ของคณะกรรมการฯ ในครั้งนี้ว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติร่วมกันลงมาดูสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่และหมุดรังวัด ซึ่งข้อเท็จจริงของสภาพพื้นที่ที่คณะกรรมการเห็นในวันนี้ผิดจากที่มีการระบุไว้ในใบไต่สวน และหมุดรังวัดก็พบเพียงจุดเดียวเท่านั้น ส่วนจุดอื่นๆ ไม่พบว่ามีหมุดรังวัดเลย หลังจากนี้ก็จะลงบันทึกผลจากการลงพื้นที่ร่วมกัน แล้วจะนำบันทึกผลการลงพื้นที่ในครั้งนี้เข้าที่ประชุมของคณะกรรมการฯ ซึ่งเมื่อทำผิดก็จะต้องดำเนินการว่าไปตามผิด
ด้าน นายภัทรชัย แก้วมณี นายช่างรังวัดชำนาญงาน สำนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ได้กล่าวถึงการเข้ามามีบทบาทในการลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริงในครั้งนี้ว่า คณะกรรมการได้มีการตั้งประเด็นการตรวจสอบถึงใบไต่สวนที่ไม่ถูกต้อง แล้วจึงมีหนังสือมายังสำนักงานที่ดินจังหวัด เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่มาเป็นคนกลางในการร่วมตรวจสอบ ตนจึงได้เข้ามาร่วมตรวจสอบสภาพพื้นที่และหมุดรังวัดในครั้งนี้ด้วย ซึ่งก็เจอเพียงแค่หมุดเดียวตรงริมถนนมิตรภาพ และจับจีพีเอสดูแล้วก็มีพิกัดตรงกันกับที่ระบุไว้ในแผนที่
ส่วนหมุดที่เหลือที่ลงไปตรวจดูตามจุดต่างๆ ที่มีการระบุว่ามีการปักหมุดกลับไม่พบหมุด ในการลงพื้นที่ในครั้งนี้บรรยากาศก็ราบรื่นดี มีการพูดคุยกันกับคณะทำงานอย่างเป็นเหตุเป็นผลไม่ได้ใช้อารมณ์กระทบกระทั่งกันแต่อย่างใด
ในส่วนของ นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน ได้แสดงความคิดเห็นต่อการลงพื้นที่ของคณะกรรมการศึกษา ติดตามกระบวนการขออนุญาตประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ในครั้งนี้ว่า จากการลงพื้นที่ของคณะกรรมการฯ ในวันนี้ทำให้เห็นว่ากระบวนการขอประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานีที่ผ่านมานั้น กพร.พยายามจะหมกเม็ด และไม่เปิดเผยข้อมูลให้ชาวบ้านทราบ
เรื่องนี้มองได้ 2 ประเด็น คือ โดยข้อเท็จจริงนั้นได้ปรากฏว่าไม่มีหมุดรังวัดตามที่ กพร.เคยอ้างมาตลอดว่าทำการปักเสร็จแล้ว และอีกประเด็นคือ ขั้นตอนการขอประทานบัตรเหมืองแร่นั้น กพร.ก็จะพยายามดันต่อ ทั้งที่ชาวบ้านมีการค้านมาแล้วกว่า 5,000 รายชื่อ ส่วนเรื่องใบไต่สวนที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ ซึ่งวันนี้กรรมการฯ มาดูแล้วก็พิสูจน์ชัดแล้ว ทาง กพร.ก็บ่ายเบี่ยงว่าไม่ใช่สาระสำคัญหลักในส่วนเอกสารใบไต่สวน ควรจะต้องไปดูในส่วนของรายงานอีเอชไอเอ ทางเรามองว่า กพร.กำลังจะปัดความรับผิดชอบไปให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ตั้งขึ้นมา โดยอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่มีบทบาทหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องการไต่สวนพื้นที่ และกระบวนการขอประทานบัตรโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี รวมทั้งร่วมกันพิจารณาข้อกฎหมายแร่ มาตรา 88/9 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ให้ได้ข้อยุติ