ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ภาครัฐ-เอกชน-ภาคประชาชนเชียงใหม่จับมือประกาศเจตนารมณ์ผลักดันเชียงใหม่เป็นเมืองสร้างสรรค์ปลอดควันบุหรี่ ชี้เชียงใหม่เดินหน้าสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์แล้วต้องพัฒนาเรื่องสุขภาพคู่กันไปด้วย ระบุบุหรี่พิษภัยร้ายแรงส่งผลกระทบหลายด้านต้องร่วมกันขับเคลื่อนลดผู้สูบหน้าใหม่-ลดความเสี่ยงคนรับควันบุหรี่
วันนี้ (10 ส.ค. 2555) ที่โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้น จ.เชียงใหม่ นายฤทธิพงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางมาเป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์รวมพลังภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชนและประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนเชียงใหม่ สู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ปลอดควันบุหรี่ โดยมีนายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
การประกาศเจตนารมณ์ของภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชนปละประชาสังคมในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนให้จังหวัดเชียงใหม่มุ่งสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ปลอดควันบุหรี่ ผ่านการสร้างกระแสการรับรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่ในด้านต่างๆ รวมทั้งการสร้างความรู้หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบจาควันบุหรี่ รวมไปถึงการบำบัดภาวการณ์ติดบุหรี่ ตั้งแต่ปี 2555-2556 โดยจะอาศัยการสร้างการมีส่วนร่วมจากทุภาคส่วนในสังคม ควบคู่กันกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535
ทั้งนี้ นายฤทธิพงศ์ได้เป็นประธานนำผู้เข้าร่วมงานกล่าวคำประกาศเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนเชียงใหม่สู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ปลอดควันบุหรี่ด้วย โดยมีสาระสำคัญคือ จะทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีพื้นที่สะอาดที่ทุกลมหายใจปราศจากควันบุหรี่ ขณะที่เยาวชนต้องได้รับการปกป้องจากการชักจูงให้ติดบุหรี่ คนเชียงใหม่ต้องไม่ทุกข์ทรมานด้วยโรคอันเกิดจากพิษภัยของบุหรี่ อีกทั้งกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง
นายแพทย์วัฒนา กาญจนกามล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า การประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัจจุบันเชียงใหม่กำลังวางแผนการพัฒนาเมืองไปสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ ที่นำความรู้ ประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์มาพัฒนาให้เกิดเป็นงานสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ทั้งต่อสังคมและเกิดคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันการพัฒนาในเรื่องสุขภาพอนามัยก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่าการสูบบุหรี่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในประเทศมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ถึงวันละ 142 คน หรือชั่วโมงละ 6 คน
นายแพทย์วัฒนากล่าวต่อไปว่า แม้ปริมาณการสูบบุหรี่ของคนไทยจะมีแนวโน้มลดลง แต่กลับพบนักสูบบุหรี่หน้าใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้หญิง ดังนั้นจึงจำเป็นที่สังคมต้องช่วยกันสร้างความตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ และร่วมกันในการขับเคลื่อนให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่ปลอดควันบุหรี่ควบคู่ไปกับการเป็นเมืองสร้างสรรค์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสกัดกั้นไม่ให้เกิดนักสูบบุหรี่หน้าใหม่ และช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการรับควันบุหรี่หรือกลุ่มผู้สูบบุหรี่มือสองมีความเสี่ยงน้อยลงแล้ว ยังจะทำให้สุขภาพของคนเชียงใหม่มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นในระยะยาวอีกด้วย