กาฬสินธุ์ - เทศบาลตำบลบึงวิชัยร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ และโรงเรียนบึงวิชัยสงเคราะห์ จัดโครงการโยนกล้าทำนาแบบใหม่ สอนให้เยาวชนรู้จักวิธีการทำนาแบบใหม่ และเป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้ปกครองในการทำนาที่ประหยัด ขณะที่ค่าแรงงานทำนาในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ปรับสูงวันละ 350 บาทแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่แปลงสาธิตการเกษตร ด้านหลังสำนักงานเทศบาลตำบลบึงวิชัย อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายสมบัติ บุญสุรี นายกเทศมนตรีเทศบาลบึงวิชัย เป็นประธานจัดโครงการโยนกล้าทำนาแบบใหม่ มีนายประสบ ตรีทศ ผู้อำนวยการโรงเรียนบึงวิชัยสงเคราะห์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่การเกษตร นำนักเรียน ประชาชน ร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก
นายสมบัติ บุญสุรี นายกเทศมนตรีเทศบาลบึงวิชัย กล่าวว่า ในฤดูกาลทำนาปีนี้พบว่าต้นทุนการผลิตทั้งค่าน้ำมัน แรงงาน ปุ๋ยเคมี มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรงงานในการปักดำนั้นสูงถึงวันละ 350 บาททีเดียว ขณะที่ปุ๋ยเคมีราคาสูงถึงถุงละ 840 บาท และยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพทำนา ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียนต้องแบกรับภาระหนักขึ้นไปอีก
นอกเหนือจากนั้น การนำเด็กมาร่วมเรียนทำนาเป็นการสร้างค่านิยมในการรักษ์ถิ่นและพื้นเพความเป็นอยู่ของตนเอง
นายสมบัติกล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เป็นทางเลือกใหม่ในการทำนาและให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการทำนาให้นักเรียน จึงได้ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ และโรงเรียนบึงวิชัยสงเคราะห์ จัดโครงการโยนกล้าทำนาแบบใหม่ในพื้นที่สาธิตจำนวน 2 ไร่ มีการเตรียมต้นกล้าและดูแลตามหลักวิชาการเกษตร ซึ่งผลดีจากการทำนาโยนช่วยให้ประหยัดหลายอย่าง
เช่น ลดขั้นตอนการผลิต ลดการลงทุน ลดรายจ่าย ประหยัดแรงงาน ให้นักเรียนได้ศึกษาวิธีการทำนาที่ประหยัดเงิน ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่มีหลายขั้นตอน ทั้งไถ คราด หว่านเมล็ดพันธุ์ ถอนกล้า ปักดำ ขณะที่นาโยนได้จากการเพาะเมล็ดพันธุ์ในถาดที่เตรียมไว้ เนื้อที่ 1 ไร่ใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 5 กิโลกรัม อายุ 15 วันนำมาโยนลงแปลงนาได้
จึงเป็นวิธีการทำนาหรือทางเลือกใหม่ให้พี่น้องชาวนา แทนการปักดำได้เป็นอย่างดี โดยเฉลี่ยพื้นที่ 1 ไร่มีค่าใช้จ่ายเพียง 600 บาท ขณะที่การทำนาดำมีค่าใช้จ่าย 4,000 บาท