อุบลราชธานี - ราคาหมู เนื้อ ผักสด ในตลาดสดเมืองวารินชำราบ อุบลราชธานี ขยับขึ้นต่อเนื่อง เกินราคาที่รัฐบาลประกาศ เจ้าของเขียงหมูจวกรัฐบาลประกาศคุมราคาสวนทางความเป็นจริง ขณะผู้บริโภคบ่นอุบของแพง ไม่เห็นถูกเหมือนรัฐบาลบอก ด้านผู้ปลูกผักครวญต้นทุนเพิ่ม แต่ก็ยังขายได้ราคาต่ำ
วันนี้ (5 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยาการศการจับจ่ายซื้อสินค้าที่ตลาดสดเทศบาลเมืองวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยราคาเนื้อหมูปัจจุบันปรับราคาขึ้นจากที่รัฐบาลเคยควบคุมคือ เนื้อสันนอกกิโลกรัมละ 125 บาท เป็นกิโลกรัมละ 140 บาท เนื้อแดงเดิมกิโลกรัมละ 115 บาท เป็น 130 บาท ซึ่งผู้จำหน่ายระบุว่า ราคาเนื้อหมูหน้าฟาร์มสูงกว่าเมื่อเดือนก่อน ทำให้ผู้ค้าปลีกต้องปรับราคาตาม โดยชิ้นส่วนเนื้อหมูปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 10-15 บาท
เมื่อสอบถามความเห็นเจ้าของเขียงขายหมูรายหนึ่งว่า รัฐบาลประกาศให้เนื้อหมูมีราคาจำหน่ายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 110-120 บาท ได้รับคำตอบก็ให้ไปซื้อกับรัฐบาลแทน และการประกาศของรัฐบาลบางครั้งนี้ ทำให้ประชาชนสับสน เพราะสวนทางกับความเป็นจริง ผู้ค้าต้องมีกำไรถึงอยู่รอดได้
ด้านพืชผักก็มีราคาสูงเช่นกัน โดยผักคะน้ากิโลกรัมละ 25 บาท จากเดิม 15 บาท ส่วนถั่วฝักยาวขึ้นสูงถึง 20 บาท จากกิโลกรัมละ 30 บาท เป็น 50 บาท และผักอื่นๆ ก็มีการปรับราคาขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 10-20 บาท ผู้จำหน่ายผักระบุสาเหตุที่ผักมีราคาแพง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะภัยแล้ง ผักให้ผลผลิตน้อย
รวมทั้งค่าบรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงพลาสติกมีการขึ้นราคา และน้ำมันใช้ขนส่งสินค้ายังมีราคาสูง ทำให้พ่อค้าคนกลางที่รับซื้อพืชผักจากชาวสวน ต้องขึ้นราคาเพื่อความอยู่รอด
ด้านนางวิชาวัน (ขอสงวนนามสกุล) พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ในฐานะผู้บริโภคระบุว่า ทุกวันนี้สินค้ามีราคาแพงขึ้นทุกอย่าง ไม่ได้ถูกเหมือนที่รัฐบาลบอก การแก้ปัญหาคือ เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นอันดับแรกก่อน และซื้อสินค้าที่มีราคาถูก เพื่อได้ปริมาณเพียงพอใช้เลี้ยงดูครอบครัวในแต่ละวัน สำหรับรายได้ปัจจุบันไม่เพียงพอแก่การใช้จ่าย เพราะรายได้ยังเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าขึ้นไปหลายเท่าตัว
สิ่งที่ต้องการคือ ให้รัฐบาลลงมาควบคุมราคาสินค้าอย่างจริงจัง ให้สินค้ามีราคาถูกลงเหมือนที่รัฐบาลบอก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวันให้ประชาชนด้วย
ขณะที่ นางคำพันธ์ ปะวิง เกษตรกรผู้ปลูกผักในตำบลคำน้ำแซบ อ.วารินชำราบบอกว่า ผักคะน้าปัจจุบันมีราคาขายหน้าสวนกิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนที่ลงทุนปลูก และช่วงนี้เก็บผลผลิตได้น้อย เนื่องจากสภาพอากาศที่มีแดดจัดทำให้ใบไหม้ ต้องตัดใบทิ้ง ทำให้น้ำหนักผลผลิตลดลง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากการระบาดของศัตรูพืช แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะไปประกอบอาชีพอะไร