พายุฤดูร้อนถล่มบ้านน้ำแก่น ชาวบ้านช้ำต้นยางพร้อมกรีดหักโค่นเกือบหมดสวน

น่าน - พายุฤดูร้อนถล่ม 10 หมู่บ้าน ต.น้ำแก่น บ้านเรือนเสียหาย 30 กว่าหลังคาเรือน ด้านชาวบ้านช้ำหนักต้นยางพาราหักโค่นระเนระนาดนับหมื่นต้น เผยเลิกปลูกข้าวโพดลงทุนกู้เงิน ธ.ก.ส.มาปลูกยางแทน รอ 8 ปีเพิ่งเริ่มกรีดได้ไม่นานต้นยางโดนพายุหักเกือบหมดสวน วอนราชการเร่งช่วยเหตุไม่มีรายได้ทางอื่นแล้ว

รายงานข่าวจาก จ.น่านแจ้งว่า นายพินิจ จักคำ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำแก่น พร้อมด้วยนายไล กันทะ กำนันตำบลน้ำแก่น อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เร่งออกสำรวจบ้านเรือนราษฎรที่ถูกพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำเสียหายเมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้ (29 เม.ย.) โดยพายุฝนได้สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนราษฎรในพื้นที่ 10 หมู่บ้านของตำบลน้ำแก่น รวมกว่า 30 หลังคาเรือน

สำหรับบ้านที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดคือบ้านของนายสำราญ ดีอุด เลขที่ 98 หมู่ 7 บ้านนาล้อม ตำบลน้ำแก่น ซึ่งพายุได้พัดหอบเอาหลังคาบ้านปลิวไปกลางทุ่งนาไกลกว่า 200 เมตร เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่นอน และข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้วจำนวน 10 กระสอบ ถูกฝนเปียกเสียหายหมด นอกจากนี้ พายุฝนยังได้สร้างความเสียหายแก่ต้นยางพาราอายุ 8-10 ปี ซึ่งกำลังให้น้ำยางของชาวบ้าน 200 กว่ารายหักโค่นล้มระเนระนาดเหลือแต่ตอ เสียหายรวมกว่า 15,000 ต้น มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 6 ล้านบาท

นายอดุลย์ ซ่อนทอง ผู้ใหญ่บ้านบ้านน้ำแก่นใต้ หมู่ที่ 5 ตำบลน้ำแก่น อำเภอภูเพียง กล่าวว่า พายุพัดถล่มอย่างหนักเมื่อรุ่งเช้า ส่งผลให้ชาวบ้านส่วนใหญ่ซึ่งเปลี่ยนอาชีพจากการทำไร่ข้าวโพดมาทำสวนยางเมื่อประมาณ 8-9 ปีที่แล้ว และขณะนี้ต้นยางพร้อมที่จะกรีดให้น้ำยางได้ ต้องได้รับผลกระทบจากพายุดังกล่าว โดยหลายคนสามารถกรีดยางทำรายได้วันละตั้งแต่ 1,000-2,000 บาท

อีกทั้งยังมีหลายรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 3 แสนบาทมาลงทุนปลูกยางเป็นเวลากว่า 8 ปี และเริ่มกรีดน้ำยางได้เมื่อปีที่แล้ว แต่ต้นยางก็มาหักโค่นเสียหายจากพายุฝน ชาวบ้านบางคนเห็นต้นยางล้มเสียหายถึงกับร้องไห้เข่าอ่อน จึงอยากวอนทางราชการเร่งช่วยเหลือชาวบ้านเป็นการด่วนเพราะไม่มีรายได้ทางอื่นแล้ว

ด้านนายพินิจเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ให้ชาวบ้านมาลงชื่อและรายละเอียดความเสียหายที่ได้รับที่ อบต.น้ำแก่น เนื่องจากพายุฝนครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง เจ้าหน้าที่อาจสำรวจไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ ทาง อบต.น้ำแก่นจะได้เร่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านโดยเร่งด่วน และหากความเสียหายมากเกินอำนาจของ อบต. ก็จะได้รายงานไปยังจังหวัดเพื่อประสานขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป