ศูนย์ข่าวศรีราชา - เฒ่าวัย 68 ป่วยอัมพฤกษ์ สุดทนเห็นภรรยาวัย 61 ขี้เมาดื่มฉลองสงกรานต์ 3 วันติดต่อกัน กลับเข้าบ้านเพี้ยนหาเรื่องทะเลาะกับหลานชายก่อนจับหัวโขกกำแพงอย่างทารุณ ตาเห็นหลานถูกทำร้าย คลานเข้าช่วยใช้ไม้ตะพดหวดกลางศีรษะ 2 ที สาหัสนอนจมกองเลือด กู้ภัยหามส่ง รพ. ส่วนสามีถูกจับกุม สอบสวนพบเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
วันนี้ (18 เม.ย.) ร.ต.อ.เอกชัย มูลลี พนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในบ้านเลขที่ 136/35 ม.8 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ
ที่เกิดเหตุ บริเวณหน้าบ้านพบชาวบ้านจำนวนมากกำลังแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่ นางสำลี ศิริสุวรรณ อายุ 61 ปี ซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาสุรา ออกมาหวีดร้องขอความช่วยเหลือ หลังถูกนายสมศักดิ์ ศิริสุวรรณ อายุ 68 ปีผู้เป็นสามี ใช้ไม้ตะพดตีเข้าที่ศีรษะจนแตก เลือดไหลนองหน้า และตามร่างกาย เบื้องต้น เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้ให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาล และนำตัวส่งรักษายังห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายสมศักดิ์ ผู้เป็นสามี ที่ลงมือก่อเหตุทำร้ายร่างกายภรรยา ขณะกำลังนั่งอยู่ภายในบ้านพบว่า ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ขาทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ ต้องใช้ไม้ตะพดค้ำยัน และเป็นใบ้ โดยมี ด.ช.มนัสนันท์ ศิริสุวรรณ อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านเตาถ่าน ซึ่งเป็นหลานชายดูแลอย่างใกล้ชิด เบื้องต้น ได้ถูกควบคุมตัวมาสอบปากคำยัง สภ.สัตหีบ
สอบสวนนายสมศักดิ์ ให้การว่า ภรรยาเป็นคนขี้เมา ไม่ยอมทำงาน ดื่มแต่สุราซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้ตั้งวงกับเพื่อนบ้านดื่มสุรา 30 ดีกรี ติดต่อกัน 3 วัน จนเมาไม่ได้สติ ก่อนเกิดเหตุ ได้เข้ามาต่อว่าหลานชาย และเข้าไปทำร้ายร่างกายอย่างทารุณ ด้วยการจับศีรษะโขกกับต้นเสาปูน เมื่อเห็นหลานได้รับบาดเจ็บ และร้องให้ช่วย จึงคลานเข้าไปพยายามช่วยหลาน ด้วยการใช้ไม้ตะพดตีเข้าที่ศีรษะของภรรยา 2 ครั้ง จนแตกมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก จากนั้น ภรรยาได้ตกใจหวีดร้องวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน กระทั่ง มีเจ้าหน้าที่มาให้การช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลดังกล่าว
ด้าน ร.ต.อ.เอกชัย มูลลี พนักงานสอบสวน กล่าวว่า สอบปากคำผู้ก่อเหตุ ให้การรับสารภาพว่า ทำร้ายร่างกายภรรยาจริง ด้วยเหตุที่พยายามเข้าไปช่วยหลานชายที่ถูกทำร้ายอย่างทารุณ ประกอบกับคำให้การของหลานชายที่ให้การตรงกัน จึงเห็นว่า ผู้ก่อเหตุที่ป่วยพิการ ไม่มีเหตุจงใจจะทำร้ายร่างกาย เพียงแต่ต้องการปกป้องหลาน จึงให้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนปล่อยตัวกลับบ้าน
