ประจวบคีรีขันธ์ - ชาวบางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ โวย เครือสหวิริยา ขอตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางสะพาน ทั้งที่พื้นที่ไม่พอแก่การนิคมอุตสาหกรรม กลับเห็นชอบให้บริษัทจำกัดจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมได้
วันนี้ (25 มี.ค.) นางจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์บ้านกรูด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มอนุรักษ์บ้านกรูดและเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์บางสะพานฯ เพิ่งจะทราบว่า ขณะนี้ทางเครือสหวิริยาได้ทำการขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมบางสะพานขึ้นมาแล้ว และพบว่าทางการนิคมฯ ได้ทำการอนุมัติในหลักการ โดยในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างทำ EIA อยู่
“ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ประเด็นข้อโต้แย้งของชุมชน คือ 1.ที่ดินในการตั้งนิคมอุตสาหกรรม เป็นที่ดินในเขตป่าสงวน และวนอุทยาน ที่ซึ่งเครือสหวิริยาได้อ้างเอกสารสิทธิการถือครองที่ดิน แต่ปัจจุบันกรมที่ดินได้ออกคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างบริษัทยื่นฟ้องศาลปกครองและขอให้มีการเยียวยาโดยขอเช่านั้น ประเด็นนี้ ทางกลุ่มอนุรักษ์ฯมองว่า ไม่เหมาะสมและเป็นเรื่องการใช้กฎหมายนิคมอุตสาหกรรมเอาพื้นที่อนุรักษ์ไปยกให้ทำอุตสาหกรรม
2.ผังที่ดินในการจัดตั้งนิคม นิคมอุตสาหกรรมบางสะพานนั้น พบว่า ได้รวมเอาที่ดินของชาวบ้านไปเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศเขตนิคมอุตสาหกรรมในครั้งนี้ด้วย ไม่ทราบว่าเขาทำกันไปได้อย่างไรกัน”
นางจินตนา กล่าวอีกว่า กรณีการขอใช้พื้นที่ในเขต อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมนั้น ส่วนตัวมองว่าน่าจะเป็นการช่วยกันปลดล๊อคให้กับบริษัทเอกชนที่ต้องการใช้พื้นที่เพื่อใช้ก่อสร้างโรงถลุงเหล็กและอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากกว่า เพราะที่ผ่านมาเอกชนไม่สามารถใช้พื้นที่ตามที่ขอใช้ได้ เนื่องจากติดขัดที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน กรมที่ดินไม่สามารถอนุญาตให้ได้ ทั้งยังมีกรณีการถือครองที่ดินซ้ำซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง และเขตวนอุทยานแม่รำพึง
ซึ่งล่าสุด กรมที่ดินได้เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของเอกชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของศาลปกครอง ตนคิดว่า การที่การนิคมฯ อ้างต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินั้นน่าจะเป็นเหตุผลที่ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
“พวกเรามองว่าขณะนี้เอกชนไม่สามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้จากปัญหาที่ดินป่าสงวนฯ การที่การนิคมใช้กระบวนการของการนิคมฯเข้าแก้ปัญหาเท่ากับจงใจให้เอกชนใช้พื้นที่ป่าได้อย่างถูกต้อง โดยการนิคมฯเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ เราไม่แปลกใจที่กระทรวงอุตสาหกรรมพยายามทำความเข้าใจกับประชาชน ว่า รัฐบาลจะสนับสนุนอุตสาหกรรมเชิงนิเวศนั้น แท้ที่จริงก็แค่ช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถใช้พื้นที่ที่อ่อนไหวต่อระบบนิเวศสร้างโรงถลุงเหล็ก อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และนิคมอุตสาหกรรมได้ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เปรียบเสมือนวันนี้พวกเราพยายามล้อมรั้วบ้าน เพื่อกันโจรปล้นอย่างแน่นหนาทำให้โจรเข้าปล้นบ้านเราไม่ได้แต่รัฐกลับมาเปิดประตูบ้านเราเพื่อโจรเข้าปล้นบ้านเรานั่นเอง”
นางจินตนา ระบุว่า เราจึงอยากให้การนิคมฯทบทวนความเห็นที่อนุญาตให้เอกชนสามารถจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดฉบับต่อไปที่มุ่งเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวและสนับสนุนภาคเกษตรกรรมเพื่อลดความขัดแย้งที่มีมานานให้เป็นสังคมแห่งมิตรไมตรี
ด้าน นายสมหวัง พิมสอ ชาวบ้าน หมู่ที่ 1 ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตัวแทนเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมบางสะพาน กล่าวว่า กรณีที่การนิคมอุตสาหกรรมมีจดหมายชี้แจงมายังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติถึงความคืบหน้าที่บริษัท สหวิริยาอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ได้ขอใช้พื้นที่เขตอำเภอบางสะพาน เพื่อขอจัดตั้งเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรม และอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานทางผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA และปรับปรุงรายงาน EIA อยู่นั้น ตนมีความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า การที่การนิคมฯชี้แจงว่า เอกชนได้ใช้พื้นที่ของตัวเองขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และมีความเห็นชอบขององค์กรท้องถิ่นในปี 2549 นั้นปัจจุบันนี้เป็นที่แน่ชัดว่าได้มีการเพิกถอนสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวจากกรมที่ดินแล้ว
และความเห็นขององค์กรท้องถิ่นที่มีความเห็นนั้นก็เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง รวมทั้งผังเมืองของอำเภอบางสะพาน ที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมก็ได้แก้ไขปรับปรุงพื้นที่ตามความเป็นจริง โดยลดขนาดพื้นที่สีม่วงเพื่ออุตสาหกรรมออก เนื่องจากเป็นพื้นที่ของชาวบ้านที่ยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ เพื่อคืนพื้นที่เพื่อการเกษตรให้แก่ชุมชน
“การสนับสนุนให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่อำเภอบางสะพาน อาจจะทำให้เพิ่มปัญหาความขัดแย้งเพราะชาวบ้านทราบดีว่าพื้นที่ของบริษัทเอกชนนั้นไม่พอต่อการจัดตั้งเป็นนิคมฯอยู่แล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่จึงเป็นพื้นที่ของชาว บ้านที่ไม่ได้ขายให้กับเอกชน และส่วนหนึ่งก็เป็นพื้นที่ป่าสงวนฯ ที่กำลังมีปัญหาการเพิกถอนสิทธิ์รวมถึงการฟ้องร้องอยู่อีกด้วย จึงไม่เห็นด้วยที่การนิคมฯจะยังคงใช้เหตุผลเดิมดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจ” นายสมหวัง กล่าว