xs
xsm
sm
md
lg

ปิกอัพขนผักเต็มคันประสานงากระบะบนถนนพิษณุโลก-หล่มสักดับ 3 ศพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พิษณุโลก - รถปิกอัพขนผักเต็มคันยางระเบิด ประสานงาสนั่นกับรถที่สวนมาบนถนนพิษณุโลก-หล่มสัก ตายสยอง 3 ศพ พบกระบะปลิวไปไกล 30 เมตร

วันนี้ (16 มี.ค.) พ.ต.ท.สุพัฒน์ กาวิน สารวัตรเวร สภ.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์กระบะชนกัน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ บริเวณถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก หน้าวัดปากยาง หมู่ที่ 8 บ้านปากยาง ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัยมูลนิธิประสาทบุญสถาน

ที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระยี่ห้อ อีซูซุ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน บม 8802 พิษณุโลก พุ่งชนกับรถยนต์กระบะยี่ห้อนิสสัน ฟรอนเทียร์ สีแดง หมายเลขทะเบียน บธ 2738 สุโขทัย พังเสียหายยับเยินทั้งคู่ และมีผู้เสียชีวิตติดอยู่ภายในรถยนต์กระบะนิสสัน 2 ราย ทราบชื่อต่อมาคือนายประหยัด สังข์ทอง อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 133/1 ม.6 ต.ยางซ้าย อ.เมือง จ.สุโขทัย และน.ส.ชนิกาญจน์ ติวพร อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 ม.6 ต.ท่าชนวน อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย

ส่วนรถกระบะอีซูซุ มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ทราบ ชื่อ นายทองปาน สิงห์โล อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8/6 ม.7 ต.แก่งโสภา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก และ นางขวัญเรือน นามปั้น อยู่บ้านเลขที่เดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลวังทองเป็นการด่วน ต่อมาได้รับแจ้งว่า นางขวัญเรือน นามปั้น ทนพิษบาดแผลไม่ไหวได้เสียชีวิตลง

เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่า กระบะรถยนต์อีซูซุ ถูกชนขาดกระเด็นออกจากตัวรถ ไปตกห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ทำให้ผักที่บรรทุกมาเต็มคันกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้นถนน นอกจากนั้น ยังพบรอยรถกระบะนิสสันเบรกเป็นทางยาวกว่า 20 เมตร

เบื้องต้นทราบว่า นางขวัญเรือน นวมปั้น เจ้าของรถยนต์กระบะอีซูซุ สีขาว บรรทุกผักมาจาก อ.หล่มสัก เพื่อนำมาขายที่บริเวณตลาดในพิษณุโลก มาถึงที่เกิดเหตุรถเกิดยางแตก ทำให้เสียหลักพลิกคว่ำและไถลข้ามเลน ระหว่างนั้นรถยนต์กระบะนิสสัน ฟรอนเทียร์ ขับสวนมาด้วยความเร็วพยายามเบรกแต่เอาไม่อยู่ จึงได้พุ่งชนอย่างเต็มแรงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้กระบะหลังของรถอีซูซุขาดกระเด็นหลุดออกจากตัวรถไปตกไกล 30 เมตร เป็นเหตุให้ผู้ขับรถยนต์กระบะนิสสัน เสียชีวิตคาที่ 2 คน

ส่วน นางขวัญเรือน ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก 1 ราย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง


กำลังโหลดความคิดเห็น