พระนครศรีอยุธยา - เตือนระวังเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เปลี่ยนพฤติกรรมหลังน้ำท่วมใหญ่ ออกมาแพร่ระบาดกัดกินช่วงต้นข้าวออกรวงฆ่าทำลายยาก พบขณะนี้เพลี้ยกระโดดกำลังแพร่ระบาดกัดกินทำลายต้นข้าวที่กำลังออกรวงที่ อำภอนครหลวง พระนครศรีอยุธยา เสียหายย่อยยับนับพันไร่ ให้สังเกตเวลากลางคืนออกมาเล่นไฟให้ระวัง
วันนี้ (12 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งพบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกำลังแพร่ระบาดกัดกินต้นข้าวได้รับความเสียหายย่อยยับนับหมื่นไร่ ในพื้นที่ ต.บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จึงเดินทางไปตรวจสอบทันทีพบว่าเพลี้ยกระโดดเริ่มแพร่ระบาดเข้ามากัดกินต้นข้าวได้ประมาณ 4-5 วัน แปลงนาข้าวกว้างสุดสายตาอยู่ในสภาพล้มระเนระนาด ใบสีส้มอมน้ำตาล เมื่อเดินลงไปในแปลงนาข้าว เมื่อแหวกต้นข้าวลงไปที่โคนต้น จะพบว่า โคนต้นจะมีลักษณะเปื่อย เป็นรา ลำต้นซีดเชียวหักง่ายไม่แข็งแรง และจะล้มไปในที่สุด ตามโคนต้นยังเป็นที่อยู่อาศัยหลบซ่อนของเพลี้ยกระโดดทุกครั้งที่ตัวเพลี้ยมีขนาดเล็กมากเมื่อถูกลบกวนจะแตกฮือบินออกมาจากโคนต้นข้าวให้เห็นเป็นจำนวนมา โดยเกษตรกรกำลังเร่งฉีดพ่นฆ่าทำลายกันอย่างโกลาหล
นางสำรวย ทองศรี อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32 ม.3 ต.บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เกษตรกรกำลังเร่งเร่งฉีดยาฆ่าทำลายทันที หลังพบเพลี้ยกระโดดแพร่ระบาด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไร การแพร่ระบาดยังคงขยายออกเป็นวงกว้างเพิ่มมากยิ่งขึ้น สร้างความเสียหายแก่แปลงนาข้าวไม่ต่ำกว่า 10,000 ไร่ สำหรับนาข้าวที่ปลูกเป็นข้าวนาปรังที่ปลูกเป็นรอบแรกหลังน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรเพราะยาที่ฉีดพ่นพบว่าไม่สามารถฆ่าทำลายได้
นางเฉลิม โลหิตไทย อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51 ม.3 ต.บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ตนเองทำนากว่า 50 ไร่ ไม่เคยปรากฏมีเพลี้ยระบาดในแปลงนาข้าวมาก่อน แปลงนาข้าวทั้งหมดกำลังเริ่มออกรวง ได้แจ้งให้ทางเกษตรอำเภอได้ทราบแล้วและบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยพบว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแพร่ระบาดช่วงต้นข้าวออกรวง เพลี้ยกระโดดจะแพร่ระบาดเฉพาะในช่วงต้นข้าวแตกกอเท่านั้น แต่หลังน้ำลดพบเพลี้ยกระโดดได้เปลี่ยนพฤติกรรมมาแพร่ระบาดขณะต้นข้าวออกรวงใบข้าวหนาแน่น ทำให้การฉีดพ่นยาทำลายเป็นไปได้ยากตกลงไปมีถึงตัวเพลี้ย จึงทำให้การแพร่ระบาดรวดเร็วยากแก่การควบคุมเป็นศรัตรูตัวใหม่ที่อันตรายเป็นอย่างมากในการกำจัดถ้าพบมีการระบาดในแปลงนาข้าว
และในขณะนี้ได้มีการเตือนไปยังเกษตรกรให้ระวังเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลให้มาก เนื่องจากตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา และน้ำแห้งลงเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยแพร่ระบาดในช่วงระหว่างต้นข้าวแตกกอ หลังน้ำลดพบว่าเพลี้ยกระโดดได้ออกมาแพร่ระบาดช่วงข้าวกำลังออกรวง ซึ่งยากในการกำจัดฆ่าทำลายด้วยสารเคมี เนื่องจากว่าไม่สามารถที่จะฉีด หรือพ่นสารเคมีให้ถูกตัวเพลี้ยได้ เพราะใบข้าวและรวงข้าวหนาแน่นสารเคมีพ่นลงไปไม่ถึงตัวเพลี้ยฆ่าทำลายได้
ซึ่งจะต่างกับการระบาดช่วงข้าวแตกกอที่ง่ายแก่การฉีดพ่นฆ่าทำลาย จึงทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดข้าวนาปรังรอบแรกหลังน้ำลดในขณะนี้กำลังถูกเพลี้ยกระโดดทำลายอย่างหนักเสีย ถึงแม้ว่าเกษตรกรจะพยายามฉีดพ่นยาสารเคมี แล้วก็ไม่สามารถฆ่าทำลายได้หมดเนื่องจากสารเคมีที่พ่นลงไปไม่ถูกตัวเพลี้ย เป็นศัตรูต้นข้าวที่อันตรายในขณะนี้
วันนี้ (12 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งพบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกำลังแพร่ระบาดกัดกินต้นข้าวได้รับความเสียหายย่อยยับนับหมื่นไร่ ในพื้นที่ ต.บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จึงเดินทางไปตรวจสอบทันทีพบว่าเพลี้ยกระโดดเริ่มแพร่ระบาดเข้ามากัดกินต้นข้าวได้ประมาณ 4-5 วัน แปลงนาข้าวกว้างสุดสายตาอยู่ในสภาพล้มระเนระนาด ใบสีส้มอมน้ำตาล เมื่อเดินลงไปในแปลงนาข้าว เมื่อแหวกต้นข้าวลงไปที่โคนต้น จะพบว่า โคนต้นจะมีลักษณะเปื่อย เป็นรา ลำต้นซีดเชียวหักง่ายไม่แข็งแรง และจะล้มไปในที่สุด ตามโคนต้นยังเป็นที่อยู่อาศัยหลบซ่อนของเพลี้ยกระโดดทุกครั้งที่ตัวเพลี้ยมีขนาดเล็กมากเมื่อถูกลบกวนจะแตกฮือบินออกมาจากโคนต้นข้าวให้เห็นเป็นจำนวนมา โดยเกษตรกรกำลังเร่งฉีดพ่นฆ่าทำลายกันอย่างโกลาหล
นางสำรวย ทองศรี อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32 ม.3 ต.บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เกษตรกรกำลังเร่งเร่งฉีดยาฆ่าทำลายทันที หลังพบเพลี้ยกระโดดแพร่ระบาด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไร การแพร่ระบาดยังคงขยายออกเป็นวงกว้างเพิ่มมากยิ่งขึ้น สร้างความเสียหายแก่แปลงนาข้าวไม่ต่ำกว่า 10,000 ไร่ สำหรับนาข้าวที่ปลูกเป็นข้าวนาปรังที่ปลูกเป็นรอบแรกหลังน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรเพราะยาที่ฉีดพ่นพบว่าไม่สามารถฆ่าทำลายได้
นางเฉลิม โลหิตไทย อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51 ม.3 ต.บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ตนเองทำนากว่า 50 ไร่ ไม่เคยปรากฏมีเพลี้ยระบาดในแปลงนาข้าวมาก่อน แปลงนาข้าวทั้งหมดกำลังเริ่มออกรวง ได้แจ้งให้ทางเกษตรอำเภอได้ทราบแล้วและบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยพบว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแพร่ระบาดช่วงต้นข้าวออกรวง เพลี้ยกระโดดจะแพร่ระบาดเฉพาะในช่วงต้นข้าวแตกกอเท่านั้น แต่หลังน้ำลดพบเพลี้ยกระโดดได้เปลี่ยนพฤติกรรมมาแพร่ระบาดขณะต้นข้าวออกรวงใบข้าวหนาแน่น ทำให้การฉีดพ่นยาทำลายเป็นไปได้ยากตกลงไปมีถึงตัวเพลี้ย จึงทำให้การแพร่ระบาดรวดเร็วยากแก่การควบคุมเป็นศรัตรูตัวใหม่ที่อันตรายเป็นอย่างมากในการกำจัดถ้าพบมีการระบาดในแปลงนาข้าว
และในขณะนี้ได้มีการเตือนไปยังเกษตรกรให้ระวังเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลให้มาก เนื่องจากตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา และน้ำแห้งลงเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยแพร่ระบาดในช่วงระหว่างต้นข้าวแตกกอ หลังน้ำลดพบว่าเพลี้ยกระโดดได้ออกมาแพร่ระบาดช่วงข้าวกำลังออกรวง ซึ่งยากในการกำจัดฆ่าทำลายด้วยสารเคมี เนื่องจากว่าไม่สามารถที่จะฉีด หรือพ่นสารเคมีให้ถูกตัวเพลี้ยได้ เพราะใบข้าวและรวงข้าวหนาแน่นสารเคมีพ่นลงไปไม่ถึงตัวเพลี้ยฆ่าทำลายได้
ซึ่งจะต่างกับการระบาดช่วงข้าวแตกกอที่ง่ายแก่การฉีดพ่นฆ่าทำลาย จึงทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดข้าวนาปรังรอบแรกหลังน้ำลดในขณะนี้กำลังถูกเพลี้ยกระโดดทำลายอย่างหนักเสีย ถึงแม้ว่าเกษตรกรจะพยายามฉีดพ่นยาสารเคมี แล้วก็ไม่สามารถฆ่าทำลายได้หมดเนื่องจากสารเคมีที่พ่นลงไปไม่ถูกตัวเพลี้ย เป็นศัตรูต้นข้าวที่อันตรายในขณะนี้