พระนครศรีอยุธยา - ประธานหอการค้าภาคกลางตอนบน จวกกลุ่ม NGO ที่ออกมาคัดค้านการสร้างแนวคันป้องกันน้ำท่วมรอบนิคมอุตสาหกรรมกรุงเก่าผิดเวลา ชี้ ทำตัวองค์กรฯเสื่อมศรัทธาจากประชาชนมากกว่าการได้รับแรงสนับสนุน
วันนี้ (7 มี.ค.) นายสุวรรณลภ ภูวบัณฑิตสิน ประธานหอการค้าภาคกลางตอนบน 1 (ดูแลพื้นที่ จ.นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี) เปิดเผยว่า หลังชาวบ้านออกมาต่อต้านกลุ่ม NGO ที่ออกมาคัดค้านการสร้างแนวคันดินป้องกันน้ำท่วมรอบนิคมอุตสาหกรรม เป็นเรื่องปกติของชาวบ้านที่เห็นว่าอะไรจะทำให้เกิดประโยชน์กับครอบครัว หรือการจ้างงาน
แต่โดยส่วนตัวมองว่า การออกมาคัดค้านของกลุ่ม NGO ในครั้งนี้ เป็นการออกมาเคลื่อนไหวผิดเวลา และต้องอย่าลืมว่าชาวบ้านที่อยู่รอบนิคมอุตสาหกรรม คือ ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาน้ำท่วม และพวกเขาก็พร้อมยอมรับในการทำแนวคันดินป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากชาวบ้านทุกคนมองว่า นั่นคือการจ้างงานของคนในชุมชน ซึ่งเป็นลูกหลานของพวกเขาในช่วงน้ำท่วม ให้มีงานทำไม่ต้องตกงานเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะจากการสอบถามเบื้องต้นกับชาวบ้านร้อยละ 99 เห็นด้วย ที่จะให้มีการสร้างแนวคันดินป้องกันน้ำท่วมรอบนิคม เพื่อรักษาพื้นที่นิคมเอาไว้ ให้ชาวบ้านได้มีงานทำ
“ต้องยอมรับว่าชาวบ้านเขาเห็นด้วย เพราะเขาได้เปลี่ยนจากวิถีเกษตรกรรมไปเป็นภาคอุตสาหกรรมแล้ว ที่นาของชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ขายให้กับนิคมฯ และพวกเขาก็ส่งลูกหลานเข้าไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรม หาเลี้ยงครอบครัว เพราะฉะนั้นการออกมาคัดค้นของกลุ่ม NGO ครั้งนี้ ถือว่าออกมาเคลื่อนไหวผิดเวลาไปหน่อย”
นายสุวรรณลภ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่ม NGO ครั้งนี้ จะทำให้เกิดผลเสียกับตัวองค์กร มากกว่าผลดี เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เขาเห็นด้วย จึงอยากฝากไปถึงกลุ่ม NGO ว่า หากต่อไปจะเคลื่อนไหวเรื่องใด ขอให้คิดให้รอบคอบว่า จะเป็นผลดีกับตัวองค์กรของคุณหรือไม่ นอกจากนี้ยังมองว่าการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมรอบนิคมอุตสาหกรรม
ยกตัวอย่างของพระนครศรีอยุธยา มีนิคมอุตสาหกรรม 5 แห่ง รวมพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ซึ่งหากปล่อยน้ำท่วมพื้นที่ 10,000 ไร่ ก็จะเก็บน้ำได้ประมาณ 20 ล้านลูกบาตรเมตร เมื่อเทียบกับพื้นที่รับน้ำของ จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 2 ล้านไร่ รับน้ำได้มากกว่า 2,000 ล้านลูกบาตรเมตรจึงเห็นว่าน่าจะรักษาพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ เพื่อให้แรงงานอย่างน้อย 2-3 แสนคน ได้มีงานทำดีกว่าตกงาน
วันนี้ (7 มี.ค.) นายสุวรรณลภ ภูวบัณฑิตสิน ประธานหอการค้าภาคกลางตอนบน 1 (ดูแลพื้นที่ จ.นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี) เปิดเผยว่า หลังชาวบ้านออกมาต่อต้านกลุ่ม NGO ที่ออกมาคัดค้านการสร้างแนวคันดินป้องกันน้ำท่วมรอบนิคมอุตสาหกรรม เป็นเรื่องปกติของชาวบ้านที่เห็นว่าอะไรจะทำให้เกิดประโยชน์กับครอบครัว หรือการจ้างงาน
แต่โดยส่วนตัวมองว่า การออกมาคัดค้านของกลุ่ม NGO ในครั้งนี้ เป็นการออกมาเคลื่อนไหวผิดเวลา และต้องอย่าลืมว่าชาวบ้านที่อยู่รอบนิคมอุตสาหกรรม คือ ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาน้ำท่วม และพวกเขาก็พร้อมยอมรับในการทำแนวคันดินป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากชาวบ้านทุกคนมองว่า นั่นคือการจ้างงานของคนในชุมชน ซึ่งเป็นลูกหลานของพวกเขาในช่วงน้ำท่วม ให้มีงานทำไม่ต้องตกงานเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะจากการสอบถามเบื้องต้นกับชาวบ้านร้อยละ 99 เห็นด้วย ที่จะให้มีการสร้างแนวคันดินป้องกันน้ำท่วมรอบนิคม เพื่อรักษาพื้นที่นิคมเอาไว้ ให้ชาวบ้านได้มีงานทำ
“ต้องยอมรับว่าชาวบ้านเขาเห็นด้วย เพราะเขาได้เปลี่ยนจากวิถีเกษตรกรรมไปเป็นภาคอุตสาหกรรมแล้ว ที่นาของชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ขายให้กับนิคมฯ และพวกเขาก็ส่งลูกหลานเข้าไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรม หาเลี้ยงครอบครัว เพราะฉะนั้นการออกมาคัดค้นของกลุ่ม NGO ครั้งนี้ ถือว่าออกมาเคลื่อนไหวผิดเวลาไปหน่อย”
นายสุวรรณลภ กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่ม NGO ครั้งนี้ จะทำให้เกิดผลเสียกับตัวองค์กร มากกว่าผลดี เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เขาเห็นด้วย จึงอยากฝากไปถึงกลุ่ม NGO ว่า หากต่อไปจะเคลื่อนไหวเรื่องใด ขอให้คิดให้รอบคอบว่า จะเป็นผลดีกับตัวองค์กรของคุณหรือไม่ นอกจากนี้ยังมองว่าการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมรอบนิคมอุตสาหกรรม
ยกตัวอย่างของพระนครศรีอยุธยา มีนิคมอุตสาหกรรม 5 แห่ง รวมพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ซึ่งหากปล่อยน้ำท่วมพื้นที่ 10,000 ไร่ ก็จะเก็บน้ำได้ประมาณ 20 ล้านลูกบาตรเมตร เมื่อเทียบกับพื้นที่รับน้ำของ จ.พระนครศรีอยุธยา ประมาณ 2 ล้านไร่ รับน้ำได้มากกว่า 2,000 ล้านลูกบาตรเมตรจึงเห็นว่าน่าจะรักษาพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ เพื่อให้แรงงานอย่างน้อย 2-3 แสนคน ได้มีงานทำดีกว่าตกงาน