พิจิตร - แก๊งยาบ้าพ่อตา-ลูกเขย เมืองชาละวัน หวาดระแวงฆ่ากันเอง พ่อตาลงมือยิงทิ้งลูกเขยต่อหน้าลูกเลี้ยง แล้วโยนศพทิ้งน้ำ ขู่ห้ามแจ้งความ จนผ่านไป 2 วัน ตำรวจจึงรู้ เข้าควบคุมตัวพ่อตามือยิงที่นั่งรออยู่บ้าน ขณะที่ศพยังไม่โผล่
วันนี้ (6 มี.ค.) น.ส.พรพิมล คงนก อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 114 หมู่ 4 ต.ท่าฬ่อ อ.เมือง จ.พิจิตร ได้เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนให้ช่วยติดตามคดีพ่อเลี้ยงยิงสามีโยนศพทิ้งน้ำน่าน ว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.รัง ดาวดึงษ์ สารวัตรสืบสวน สภ.เมืองพิจิตร ว่า สามีคือ นายชาลี ยี่คิ้ว อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/1 หมู่ 7 ตำบลไผ่ขวาง อำเภอเมืองพิจิตร ถูกพ่อเลี้ยง คือ นายสุดใจ ไผ่แก้ว อายุ 36 ปี บ้านเลขที่ 9 หมู่ 1 ตำบลปากทาง อำเภอเมืองพิจิตร ชักชวนให้ไปค้ายาบ้าร่วมกัน แต่เกิดการระแวงซึ่งกันและกัน จากนั้น นายสุดใจ ได้ใช้อาวุธปืนจ่อยิง นายชาลี ตายต่อหน้าต่อตา พร้อมกับขู่ห้ามแจ้งความ
แต่ น.ส.พรพิมล ได้ตัดสินใจบอกกับแม่สามี และได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ หลังจากเกิดเหตุได้ 2 วันผ่านไปแล้ว ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวละจับกุมนายสุดใจ ที่ฆ่าลูกเขยตายต่อหน้าลูกสาว แล้วเอาศพไปโยนทิ้งในแม่น้ำน่าน ซึ่งจากวันเกิดเหตุจนถึงวันนี้ ตำรวจและหน่วยกู้ภัย ได้ช่วยกันค้นหาศพผู้ตายมา 5 วันแล้ว ก็ยังหาศพไม่เจอ
น.ส.พรพิมล ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองเป็นลูกเลี้ยงของนายสุดใจ ไผ่แก้ว ที่เป็นมือปืนสังหารสามี โดยได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อเลี้ยงและแม่ของตน ซึ่งภายในครอบครัวอยู่รวมกันทั้งหมด 6 คน
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.ของวันที่ 1 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา นายสุดใจ ไผ่แก้ว พ่อเลี้ยงของตน บอกว่า ไปจี้ของมาจากพิษณุโลกได้เป็นยาบ้ามา 1 มัด จึงได้ชักชวนนายชาลี ที่เป็นลูกเขย และ น.ส.พรพิมล ที่เป็นลูกเลี้ยง ให้มาช่วยกันแพ็กบรรจุยาบ้าใส่ซองเล็กๆ เพื่อจะได้นำไปจำหน่ายให้กับลูกค้ารายย่อย โดยไปทำกันที่ริมแม่น้ำน่าน ซึ่งเป็นตลิ่งและหาดทรายที่นายสุดใจ ผู้เป็นพ่อตาขุดเป็นโพรงคล้ายถ้ำอยู่ใต้ดิน
เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ น.ส.พรพิมล เล่าว่า ตนเองเดินนำหน้าสามีเดินตามหลัง นายสุดใจ ที่เป็นพ่อเลี้ยง และเป็นพ่อตาของนายชาลี เดินตามท้าย จู่ๆ นายสุดใจ ก็ได้ชักปืนยิงเข้าใส่นายชาลี ผู้เป็นลูกเขย เมื่อตนหันหลังกลับมาเห็นสามีถูกยิง แต่ยังไม่ตายทันที จึงเข้ากอดร่างสามี และร้องตะโกนด่าทอนายสุดใจ ผู้เป็นพ่อเลี้ยง นายสุดใจ ก็ได้ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตเข้าที่ร่างของตนที่เป็นลูกเลี้ยงจนสลบไป พร้อมกับยิงซ้ำไปที่ร่างของนายชาลี จนสิ้นชีวิต
น.ส.พรพิมล ระบุว่า ระหว่างนั้นตนเองยังพอมีสติเห็น นายสุดใจ ได้ลากศพของนายชาลี สามีของตนเอง ไปโยนทิ้งในแม่น้ำน่าน แล้ว นายสุดใจ ก็ขึ้นมาหา น.ส.พรพิมล และขู่ว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกกับใคร ไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย จากนั้นก็ปล่อยให้ตนเดินร้องไห้กลับบ้าน และเก็บเป็นความลับอยู่ 2 วัน จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงได้บอกกับแม่สามี และได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว
และหลังจากที่ นายสุดใจ ได้ฆ่า นายชาลี ลูกเขยจนเสียชีวิตแล้ว ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด ยังคงนั่งรอตำรวจอยู่ที่บ้านอย่างใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งตำรวจได้เข้าจับกุมได้ที่บ้านดังกล่าว
ในเบื้องต้น นายสุดใจ พ่อตาปืนโหดให้การรับสารภาพว่า ได้ฆ่า นายชาลี จริง และนำอาวุธปืนลูกซองโยนทิ้งน้ำในแม่น้ำน่านไปแล้ว และตำรวจยังได้พบอาวุธปืนอีก 1 กระบอก พร้อมกระสุนอีก 20 นัด ที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องน้ำ จึงได้ควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ สภ.เมืองพิจิตร
นายสุดใจ ยังให้การเพิ่มเติมอีกว่า สาเหตุที่ต้องฆ่า นายชาลี เพราะ นายชาลี ติดยาเสพติด อย่างหนัก ตนเองพยายามเตือนให้เลิกยุ่งเกี่ยวแล้วหลายครั้ง นายชาลี ก็ไม่เชื่อ บางครั้งไม่มีเงินซื้อยามาเสพ ก็จะมาทำร้ายตนเอง บางครั้งก็พาเพื่อนมารุมทำร้าย ทั้งที่ตนเองอยู่ระหว่างการรักษาตัว เนื่องจากติดเชื้อเอชไอวี ตนเองสุดทนจึงตัดสินใจฆ่านายชาลี ทิ้ง เพื่อให้สังคมสงบสุข เพราะอย่างไรตนเองก็จะต้องตายจากโรคร้ายนี้อยู่แล้ว
ในส่วนของชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์การค้นหาศพที่เกิดเหตุ จนถึงวันนี้เกือบสัปดาห์แล้วก็ยังหาศพไม่เจอต่างวิพากษ์วิจารณ์ ว่า นายสุดใจ ผู้เป็นมือปืนเคยเป็นสายลับทำงานให้กับตำรวจ จึงมีความรู้ด้านการทำลายศพ และการอำพรางคดี จึงทำให้หาศพไม่เจอ ซึ่งคาดว่าถ้าหาศพไม่เจอสุดท้าย นายสุดใจ ก็จะต้องปฏิเสธชั้นศาลและหลุดจากคดีไม่ติดคุกอย่างแน่นอน