ศูนย์ข่าวศรีราชา - บ.แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล 1 จำกัด ผู้บริหารท่าเทียบเรือ B1 สนองนโยบายการเป็นท่าเรือสีเขียว ของท่าเรือแหลมฉบัง ด้วยการทุ่มงบเกือบ 100 ล้านจัดทำปั้นจั่นล้อยางไฟฟ้าทดแทนการใช้ปั้นจั่นล้อยางที่ใช้พลังงานน้ำมันดีเซล เป็นท่าเทียบเรือแห่งแรกของประเทศ ขณะเดียวกันยังจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่บรรยากาศได้มากถึง 1.3 พันตันต่อปี
นายนีลส์ ที.แฮนเซ่น ผู้บริหารระดับสูง บริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล 1 จำกัด ผู้บริหารท่าเทียบเรือ B1 ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เผยหลังทำพิธีลงนามในสัญญาการจัดทำปั่นจั่นล้อยางไฟฟ้า (RTG Electrification Modification Agreement) ร่วมกับบริษัท คอนดักทิกซ์ แวมเฟลอร์ เอจี เพื่อทำการเปลี่ยนปั่นจั่นล้อยางจากที่ใช้น้ำมันดีเซลมาเป็นใช้ไฟฟ้าซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซล และส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศลดลงได้ถึงประมาณ 1,300 ตันต่อปีว่า โครงการดังกล่าวใช้งบประมาณลงทุนเกือบ 100 ล้านบาท
ซึ่งนอกจากโครงการนี้ จะตอบสนองนโยบายการเป็น “ท่าเรือสีเขียว” ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย และท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
“พวกเราสนับสนุนแนวคิดและความมุ่งมั่นของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในการสร้างท่าเทียบเรือ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่สุด และพวกเรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นท่าเทียบเรือแห่งแรกของประเทศที่ริเริ่มใช้พลังงานไฟฟ้า กับปั่นจั่นล้อยางของเรา ซึ่งพวกเรารู้สึกยินดีที่เป็นผู้นำเสนอผลงานอันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้า พนักงาน และชุมชนท้องถิ่นในท่าเรือแหลมฉบัง และเรายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกับคู่ค้าของเราในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับธุรกิจซัพพลายเชนของโลกต่อไป”
ขณะที่ นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การท่าเรือฯ มีความยินดีที่ บริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล 1 จำกัด ที่สนับสนุนนโยบายท่าเรือสีเขียวและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการที่นำโดยบริษัท แอลซีบี 1 จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับท่าเทียบเรืออื่นๆ ได้ปฏิบัติตามในอนาคต แม้ว่าการเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าจะนำมาซึ่งการลงทุนในเบื้องต้น แต่ประโยชน์ที่ได้รับกลับมาจะสามารถเป็นที่ประจักษ์ได้และยังเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต
สำหรับ ปั้นจั่นล้อยางไฟฟ้าดังกล่าว บริษัท คอนดักทิกซ์ แวมฟลอร์ เอจี ได้ทำการติดตั้งนี้ประกอบด้วย Bus Bar ที่มีความยาว 2556 เมตร ครอบคลุมลานวางตู้สินค้าจำนวน 26 ช่อง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2556