กาญจนบุรี - รองผบช.ก.นำ ตร.ปทส.พร้อมป่าไม้ตรวจสอบเหมืองแร่กาญจน์ พบทำแร่ผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.แร่ ตรวจยึดแร่ 14,000 ลบ.เมตร หนัก 7,000 ตัน พร้อมจับกุมเจ้าของเหมืองดำเนินคดี
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (21 ธ.ค.) พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบช.ก.เปิดเผยภายหลังนำกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.ปทส.ลงพื้นที่ตรวจสอบเหมืองแร่และจับกุมแร่ได้ของกลางจำนวนมาก ว่า ทาง บช.ก.ได้สืบทราบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายป่าไม้ และ พ.ร.บ.แร่ ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่แม่น้ำน้อย อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ดังนั้น ตนพร้อม พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผกก.5 บก.ปทส.ร่วมกับ นายสมยศ รงค์ทอง เจ้าหน้าที่ระดับ ส.1 ประจำหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.1 นำกำลัง ตำรวจ ปทส.และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กว่า 100 นาย เข้าตรวจสอบเหมืองแร่ ส.ถ้ำแก้วเหมืองแร่ จำกัด หมู่ที่ 4 ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางถึงพบในที่เกิดเหตุว่ามีร่องรอยการระเบิดภูเขา เพื่อนำแร่ออกไปเป็นจำนวนมาก และยังพบว่ามีการเจาะหินเพื่อเตรียมทำการระเบิดอีกเป็นจำนวนมาก พบแร่เควสปาร์กองอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จึงทำการตรวจสอบ พบว่า มีการร่องการทำแร่นอกเขตสัมปทานและไม่มีการขออนุญาตจากทางกรมป่าไม้ ดังนั้น จึงมีการกระทำความผิดตามกฎหมายป่าไม้
พล.ต.ต.ศรีวราห์ เปิดเผยต่อว่า ที่เกิดเหตุที่เหมืองแร่ นายปรีชา ถ้ำแก้ว อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 239 ถ.ราชวิถี ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานเหมืองแร่เดิมเดินทางมาให้การต่อเจ้าหน้าที่ ว่า เหมืองแร่เดิมชื่อ ส.ถ้ำแก้วเหมืองแร่ จำกัด มีเนื้อที่จำนวน 209 ไร่ ต่อมาตนได้ให้ นายสุราวุธ อึ่งเกตุกุล บ้านเลขที่ 1 ถ.พัฒนาการคูขวาง ต.คลัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เจ้าของและผู้จัดการ บริษัท ทรัพย์ดี จำกัด ได้เช่าช่วงการทำเหมืองแร่ไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 และทางบริษัท ทรัพย์ดี จำกัด ได้เริ่มดำเนินการทำเหมืองแร่ เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 พร้อมทั้งได้ทำการขนย้ายแร่ดังกล่าว ไปไว้ที่โรงงานแร่ ที่ตั้งอยู่ที่ภายใน อ.ด่านมะขามเตี้ย โดยตนยังเหลือสัมปทานเหมืองอีก 3 ปี และได้ทำการยืนยันอีกว่า บริเวณที่มีแร่กองอยู่นั้น อยู่นอกเขตสัมปทานเหมืองแร่จริง โดยอยู่ในเขตป่าไม้จริงตามที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้กล่าวโทษว่าผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ จริงเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดไว้ของกลางทั้งหมดไว้ดำเนินคดี ในข้อหาทำแร่ในเขตป่าสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาต
รองผบช.ก.เปิดเผยต่อว่า ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำหมายค้นจากศาลจังหวัดกาญจนบุรีไปตรวจค้นโรงงานทรัพย์ดี จำกัด ที่กำลังทำการก่อสร้าง โรงงานแต่งแร่ ที่หมู่ที่ 7 ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นโรงงานที่นายปรีชา บอกว่า ได้ทำการขนแร่ออกไปกองไว้ จึงได้เดินทางไปยังโรงงานบดแร่ ชื่อพบว่ามีแร่เควสปาร์กองอยู่ 3 กองใหญ่ ซึ่งมีปริมาตรประมาณ 14,000 ลบ.เมตร น้ำหนักกว่า 7,000 ตัน ต่อมาได้มี นายธีรยุทธ บุรีรัตน์ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 398 ม.1 ต.พุพรี อ.บ้านนาสาร จ..สุราษฎร์ธานี แสดงตนว่า เป็นผู้จัดการดูแล โรงงานแต่งแร่ ทรัพย์ดี จำกัด และได้นำหลักฐานการก่อตั้งบริษัทมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ว่าโรงงานนั้นตั้งอยู่เลขที่ 61/1 หมู่ 1 ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี บนเนื้อที่ 77 ไร่
พร้อมทั้งยังได้นำใบที่ได้รับอนุญาตที่ได้รับจาก อุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรีมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอให้นายธีรยุทธ นำใบขนย้ายแร่มาแสดงให้ดู แต่ นายธีรยุทธ กับนำใบขนย้ายแร่จากเหมืองทรัพย์ดีไปยัง จ.ราชบุรี มาแสดงแทน แต่ไม่มีใบขนย้ายจากเหมืองทรัพย์ดีมา เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบทะเบียนราษฎร พบว่า บ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นของนางมาลี ซัมภารีย์ อายุ 63 ปี และพบว่า ที่ตั้งบริษัทตั้งกล่าวนั้นตั้งอยู่บนเลขที่ 67/1 หมู่ 7 ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี จึงไม่ตรงกับเอกสารที่ นายธีรยุทธ นำมาแสดง จึงได้ทำการจับกุมนายธีรยุทธ ดำเนินดคีในข้อหากระทำผิด ตามมาตรา 105 พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ที่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถมีแร่จึงเป็นทรัพยากรของป่าไม้ได้ไม่เกิน 2 กิโลกรัมเท่านั้น หากมากกว่านั้นจะมีความผิดฐานมีแร่เถื่อนอยู่ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพบป้านทะเบียนรถบรรทุกอีกจำนวน 9 ป้าย จึงยึดไว้ตรวจสอบ จากนั้นควบคุมตัวนายธีรยุทธ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ด่านมะชามเตี้ย ให้ดำเนินคดีต่อไป
จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังบ้านพุน้ำร้อน หมู่ 12 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อติดตามตรวจสอบ รถแบ็คโฮสีส้มและรถเจาะหินฝังระเบิดสีขาว ที่พบว่านำมาจอดทิ้งไว้ที่ชายป่า จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานแล้วนำส่ง เจ้าพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และยังได้จับกุม พบว่า รถทั้ง 2 คันอยู่ที่เหมืองแร่ดังกล่าว แต่หลังจากนั้น ทางเหมืองได้นำรถทั้ง 2 คัน นำมาหลบไว้ที่ บริเวณหมู่ที่ 12 บ้านพุน้ำร้อน ต.บ้านเก่า อ.เมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ฝึกของกองทัพภาคที่ 1 อยู่ในการดูแลของกองพลทหารราบที่ 9 ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยึดรถทั้ง 2 คันไว้ ดำเนินคดี ต่อไป