ลำปาง - นายกเทศมนตรีเมืองรถม้า กลั้นใจลงดาบปลดออก ข้าราชการพนักงานเทศบาล 5 คนรวด หลัง ป.ป.ช.ชี้ ผิดวินัยร้ายแรงให้ไล่ออก แต่ กทจ.เห็นควรลดโทษเป็นปลดออก หลังให้ไฟเขียว รพ.เขลางค์นคร-ราม ต่อเติมอาคารผิดแบบ
นายนิมิตร จิวะสันติการ นายกเทศมนตรีนครลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้ลงนามในคำสั่งให้ปลดออกข้าราชการพนักงาน เทศบาลนครลำปาง รวม 5 คน ตามที่คณะกรรมการพิจารณาวินัยข้าราชการท้องถิ่นจังหวัดลำปาง หรือ กทจ.มีคำสั่งยืนให้ปลดออก ก่อนหน้านี้แล้ว
กรณีดังกล่าวก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหา นายนรินทร์ มโนกูลอนันต์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครลำปาง จังหวัดลำปาง กับพวก ออกใบอนุญาตเลขที่ 129/2544 ลงวันที่ 21 ส.ค.54 ให้กับบริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ต่อเติมทางเชื่อมระหว่างอาคารใหม่และอาคารเก่า โดยมิชอบ
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า โรงพยาบาลเขลางค์นคร-ราม ได้เริ่มก่อสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2533 เป็นอาคารชนิดคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น พื้นที่ /ความยาว 4,805.40 ตารางเมตร ที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออกของรถ จำนวน 37 คัน พื้นที่ 1,632 ตารางเมตร ตามใบอนุญาต เลขที่ 111/2533 ลงวันที่ 27เมษายน 2533 และเมื่อปี พ.ศ.2536 บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ทำการต่อเติมอาคารโรงพยาบาลดังกล่าวเพิ่มเติมขึ้นอีก 1 ชั้น พื้นที่ 815 ตารางเมตร ตามใบอนุญาต เลขที่ 101/2536 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2536
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2539 บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้รับอนุญาตให้ทำการก่อสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอีก 1 หลัง เป็นอาคารชนิดคอนกรีตเสริมเหล็ก 6 ชั้น พื้นที่/ความยาว 9,550 ตารางเมตร ที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออกของรถ พื้นที่ 3,545 ตารางเมตร ตามใบอนุญาตเลขที่ 312/39 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539
อาคารที่ทำการก่อสร้างใหม่นี้ ด้านข้างของอาคารจะอยู่ใกล้ชิดกับแนวเขต (กำแพง) ของบ้านเลขที่ 79/6 ถนนพหลโยธิน ตำบลสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ซึ่งมีระยะห่างส่วนที่น้อยที่สุด 0.80 เมตร และส่วนที่มากที่สุด 4.75 เมตร และตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตกำหนดให้ทำทางเชื่อมระหว่างอาคารใหม่กับอาคารเก่าเฉพาะชั้นที่ 1 และ 2 เท่านั้น
แต่ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ว่าจ้างผู้รับจ้างให้ทำการต่อเติมทางเชื่อมระหว่างอาคารใหม่และอาคารเก่า ตั้งแต่ชั้นที่ 3-6 ซึ่งมีพื้นที่ชั้นละ 68 ตารางเมตร เพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2541 บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างทางเชื่อมระหว่างอาคารใหม่และเก่า 4 ชั้น ตั้งแต่ชั้น 3-6 ซึ่งระหว่างการพิจารณาตรวจสอบการขออนุญาตปรากฏว่า บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ดำเนินการก่อสร้างทางเชื่อมอาคารดังกล่าวไปจนแล้วเสร็จ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 เทศบาลเมืองลำปาง ได้แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ในข้อหาก่อสร้างดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองลำปาง มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ฐานก่อสร้างดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 21 และมาตรา 65
แต่พนักงานอัยการจังหวัดลำปาง มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยเห็นว่าผู้ต้องหาได้รับใบอนุญาตให้ทำการก่อสร้างอาคาร ค.ส.ล.6 ชั้น โดยชอบจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามใบอนุญาตเลขที่312/2539 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 และได้ดัดแปลงต่อเติมทางเดินเชื่อมต่ออาคารหลังใหม่ที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างกับอาคารหลังเก่าที่มีอยู่โดยผิดไปจากแบบแปลน แผนผัง ที่ได้รับอนุญาต
การกระทำของผู้ต้องหาไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันทำการก่อสร้างดัดแปลงอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 21 และมาตรา 65 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ส่วนการที่ผู้ต้องหาทำการก่อสร้างดัดแปลงอาคารให้ผิดไปจากแบบแปลน แผนผัง ที่ได้รับอนุญาต โดยการทำทางต่อเชื่อมระหว่างอาคารใหม่ที่ได้รับอนุญาตกับอาคารหลังเก่า จากคำยืนยันของวิศวกรผู้ควบคุมงานว่า การทำทางเดินต่อเชื่อมดังกล่าวไม่เกี่ยวกับโครงสร้างของอาคาร และไม่ทำให้อาคารต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิน 10% จึงเป็นเรื่องที่ผู้ต้องหาสามารถดำเนินการได้ ตามนัยมาตรา 4(5) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 11 และ 12
คณะอนุกรรมการไต่สวน ได้ไต่สวนวิศวกรผู้ควบคุมงานอีกครั้งหนึ่ง ได้ความว่า ที่คำนวณโครงสร้างอาคารในชั้นพนักงานสอบสวนนั้น คำนวณเฉพาะทางเชื่อมเท่านั้น โดยไม่รวมทางเดินซึ่งทำมาพร้อมกับอาคาร เพราะพนักงานสอบสวนถามเฉพาะส่วนที่เชื่อม แต่ถ้าคิดรวมน้ำหนักทั้งหมดแล้วจะเกินร้อยละสิบ (ทางเดินที่ทำตั้งแต่ชั้น 3-6 ขณะก่อสร้าง)
นอกจากนี้ ยังให้การเพิ่มเติมอีกว่า อาคารเดิมกับอาคารหลังใหม่ที่ก่อสร้างถ้าเชื่อมทางเดินใช้สอยร่วมกันต้องถือว่า เป็นอาคารหลังเดียวกันและคิดพื้นที่รวมกัน เมื่อรวม 2 อาคาร แล้วจะมีพื้นที่ทุกชั้นรวมกันเกินกว่า 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งจะต้องมีถนนที่มีผิวจราจรกว้างไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร ที่ปราศจากสิ่งปกคลุมโดยรอบอาคาร เพื่อให้รถดับเพลิงสามารถเข้าออกได้สะดวก และต้องห่างจากเขตที่ดินของผู้อื่นหรือถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ข้อ 3
และข้อ 4 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2544 บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ขออนุญาตก่อสร้างต่อเติมอาคาร ชั้น 3-6 เป็นทางเชื่อมของอาคารเก่าและใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาว่า เมื่อผู้ขออนุญาตก่อสร้างต่อเติมทางเชื่อมอาคารระหว่างอาคาร 2 หลัง จะต้องรวมพื้นที่เป็นอาคารหลังเดียวกันหรือไม่ เพราะถ้าเป็นอาคารหลังเดียวกันจะมีผลทำให้อาคารมีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ ซึ่งจะต้องมีระยะห่างจากอาคารโดยรอบไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร
ผู้อำนวยการสำนักการช่าง เทศบาลนครลำปาง จึงได้เสนอปลัดเทศบาลนครลำปาง ว่า ควรทำเรื่องหารือคณะกรรมการควบคุมอาคาร โดยผู้อำนวยการสำนักการช่าง จะนำเรื่องไปหารือด้วยตนเอง ซึ่งต่อมาเทศบาลนครลำปาง ได้มีหนังสือลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 และหนังสือลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 หารือไปยังประธานคณะกรรมการควบคุมอาคาร และผู้อำนวยการสำนักควบคุมอาคาร ตามลำดับ
แต่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะนายกเทศมนตรีนครลำปาง ได้มีคำสั่งเทศบาลนครลำปาง ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2544 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาลเขลางค์นคร-ราม ประกอบด้วย ผู้ถูกกล่าวหา เป็นประธานกรรมการ เทศมนตรีฝ่ายโยธา และพนักงานเทศบาลที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ และได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่10 สิงหาคม 2544 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นควรอนุญาตให้ก่อสร้างต่อเติมอาคารทางเชื่อมของอาคารดังกล่าว ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ได้ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารให้กับบริษัท โรงพยาบาลเขลางค์ นคร จำกัด ตามใบอนุญาตเลขที่ 129/2544 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2544
คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ก่อสร้างต่อเติมทางเชื่อมระหว่างอาคารใหม่และเก่า 4 ชั้น ตั้งแต่ชั้นที่ 3-6 การก่อสร้างต่อเติมทางเชื่อมระหว่างทั้งสองอาคารดังกล่าวเป็นการดัดแปลงอาคาร และทำให้อาคารทั้งสองหลังเป็นอาคารเดียวกัน มีพื้นที่รวมกันเกิน 10,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่พิเศษ และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 โดยพื้นที่หรือผนังอาคารจะต้องห่างจากเขตที่ดินของผู้อื่นและถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร
แต่อาคารตามแบบที่ขออนุญาตนั้น ห่างจากแนวเขตที่ดินของบ้านเลขที่ 79/6 ไม่ถึง 6.00 เมตร เจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ทำการต่อเติมทางเชื่อมระหว่างอาคารทั้งสองหลังได้ โดยการต่อเติมทางเชื่อมระหว่างอาคารทั้งสองดังกล่าว
บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จมาตั้งแต่ประมาณปลายปี พ.ศ.2542 และขณะนั้นได้เคยขออนุญาตแล้วแต่ไม่ได้รับอนุญาต จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2544 บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ได้ยื่นคำขออนุญาตทำทางเชื่อมอีกครั้งหนึ่ง ผู้ถูกกล่าวหา จึงได้ร่วมกับผู้ถูกกล่าวหาอื่น ๆ พิจารณาและมีมติอนุญาตให้บริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ก่อสร้างต่อเติมอาคารส่วนที่เป็นทางเชื่อมระหว่างอาคารสองหลังของโรงพยาบาลเขลางค์นคร-ราม ได้ และต่อมาได้ออกใบอนุญาตให้กับบริษัท โรงพยาบาลเขลางค์นคร จำกัด ตามใบอนุญาตเลขที่ 129/2544 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2544
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา และเทศมนตรีฝ่ายโยธา จึงมีมูลเป็นความผิดทางอาญา
ซึ่งกรณีดังกล่าว กทจ.ลำปาง พิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งยืน “ปลดออก” นายจำเนียร ทองกระสัน ผอ.กองช่าง,นายไพรัช ศรีพานิช หน.งานวิศวกรรมโยธา 1 และหน.ฝ่ายควบคมอาคาร,นายวิศิษฐ์ ดวงแก้ว หน.ฝ่ายควบคุมอาคาร และ นายกำธร วัตถพาณิชย์ หน.งานอนุญาตอาคาร,นายสำเนา สดใส นายช่างโยธา 7 ว ฝ่ายควบคุมอาคารและผังเมือง เทศบาลนครลำปาง หลังป.ป.ช.สั่งลงโทษวินัยร้ายแรง พร้อมอดีตนายก และ ผอ.กองช่าง ปลัด ทน.โดยให้ไล่ออก แต่ทางผู้บังคับบัญชา, อนุกรรมการ และ กทจ.(คณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดลำปาง)ได้พิจารณาลักษณะการกระทำความผิดวินัยในกรณีดังกล่าวนี้ โดยให้ปลดออก เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดเพียงไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ซึ่งไม่เข้าลักษณะการทุจริต ที่จะต้องลงโทษทางวินัยร้ายแรงโดยการไล่ออกสถานเดียว
ทั้งนี้ อนุกรรมการพิจารณาการดำเนินการทางวินัยและการให้ออกจากราชการ(พนักงานเทศบาล) จังหวัดลำปาง กทจ.มีมติยืนตามคำวินิจฉัยของอนุกรรมการฯ โดยให้ปลดออก
นายนิมิตร กล่าวอีกว่า เมื่อ กทจ.มีคำสั่งดังกล่าวออกมา ตนเองก็ต้องทำตาม โดยขณะนี้ได้มีคำสั่งปลอดออกข้าราชการพนักงานทั้ง 5 คน แล้ว โดยมีผลทันที ซึ่งก็รู้ว่าไม่ดีเหมือนกันเพราะเห็นว่าข้าราชการทั้งหมดเป็นคนดี แต่ที่ผ่านมาอาจจะขัดคำสั่งไม่ได้จึงต้องทำไปเช่นนั้น อย่างไรก็ตามทั้ง5 คน ยังสามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งได้ ภายใน 30 วัน