แพร่ - เครือข่ายการเมืองภาคประชาชนเมืองแพร่ เสนอ ป.ป.ช.เข้าตรวจสอบโครงการแจกเงินช่วยน้ำท่วม ส่อเอื้อประโยชน์นักการเมือง แถมต้องสงสัยเอี่ยวซื้อเสียงที่อำเภอลอง
หลังจากชาวบ้านใน อ.ลอง ออกมาทวงเงินซื้อเสียงเลือกตั้ง อบจ.แพร่ กับหัวคะแนนพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งต่อมาวันที่ 26 พ.ย.54 พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแพร่ ได้นำเงินสดลงไปจ่ายให้กับประชาชนในชุมชนต่างๆ หัวละ 500 บาทในเขต อ.ลอง จ.แพร่ รายละ 500 บาท โดยนำไปแจกที่ ต.เวียงต้า 556 ราย ต.ต้าผาม็อก 391 ราย ต.บ้านปิน 592 รายที่ โรงเรียนลองวิทยา ต.ห้วยอ้อ 845 ราย ที่ต.บ่อเหล็กลอง 429 ราย ต.ปากกลาง 442 ราย ต.ปากจอก 643 ราย ต.แม่ปาน 336ราย และ ต.หัวทุ่ง ที่วัดเชตุวัน 496 ราย
โดย นางธิภกร นันทะพงษ์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดแพร่ ยืนยันว่า เป็นเงินงบประมาณของรัฐบาลที่นำลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดแพร่ เป็นการฝึกอาชีพระยะสั้น ไม่ใช่เป็นการจ่ายเงินซื้อเสียงแต่อย่างใด แม้ว่าชาวบ้านที่ได้รับการแจกเงินล้วนแต่มีชื่อในบัญชีรายชื่อของหัวคะแนนนักการเมืองที่ได้ตกลงกันก่อนเลือกตั้งในสนามการเมืองของจังหวัดแพร่มาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น
นายเกียรติ คำน้อย เครือข่ายการเมืองภาคประชาชน จ.แพร่ กล่าวว่า ความจริงแล้วการซื้อเสียงในปัจจุบันจับยาก และไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบมาคอยจับอย่างแน่นอน แต่ภาคประชาชนที่สนใจที่จะให้การเมืองเข้าสู่ระบบที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ช่วยกันจับตาและมองภาพที่แท้จริง กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะมีหัวคะแนนสัญญาว่าจะจ่าย และเมื่อเลือกตั้งผ่านไป สอบตก ปัญหาคือไม่จ่าย ชาวบ้านออกมาประท้วง ก็จำเป็นต้องจ่าย การจ่ายไม่ยาก เอาโครงการของรัฐเข้ามาจ่าย
“ผู้นำหมู่บ้านใช้วัตถุประสงค์เพื่อซื้อเสียง ราชการใช้วัตถุประสงค์เพื่อช่วยน้ำท่วม ชาวบ้านใช้วัตถุประสงค์ได้อย่างเดียวเป็นพอ”
นายเกียรติ บอกว่า อย่างนี้จึงขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าวว่าเป็นพื้นที่ประสบภัยจริงหรือไม่ และทำไมต้องจ่ายกันในช่วงหลังวันเลือกตั้งนายก อบจ.แพร่ ลองสอบถามชาวบ้านดูว่ารับเงินมาจากเงื่อนไขอะไร แล้วเอาเงินไปทำอะไร ฝึกอาชีพจริงหรือเปล่า คิดว่าการตรวจสอบไม่ยากไม่ต้องไปคิดเรื่องซื้อเสียง แต่มองที่ระเบียบการใช้เงินงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยเท่านี้ก็จบแล้ว
“ที่เสนอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ เพราะระบบในจังหวัดแพร่ไม่มีทาง จบหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงเครือข่ายภาคประชาชนเท่านั้น ที่จะพยายามเฝ้าระวังตรวจสอบ”
