ประจวบคีรีขันธ์ - ตำรวจภูธรประจวบตีรีขันธ์ สนธิกำลังนับร้อยนายบุกค้นบ้าน “กำนันแป๊ะ” อดีตกำนันตำบลอ่าวน้อย นำตัวสอบเครียดพร้อม “เจ๊หมวย” ผู้สมัครนายก อบต.อ่าวน้อย ยึดปืนลูกซอง “ผู้ใหญ่สัญ” ตรวจหาหลักฐานโยงคดีสังหาร “แป๊ป คั่นกระได” เจ้าของคิวรถตู้และผู้กว้างขวางในอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
กรณีคนร้ายใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และปืนลูกซองยิงถล่ม นายเล็ก ชูจิตร อายุ 51 ปี หรือ “แป๊ป คั่นกระได” ผู้กว้างขวางในอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อยู่บ้านเลขที่ 78/3 หมู่ 3 บ้านคั่นกระได ต.อ่าวน้อย เจ้าของคิวรถตู้ “บารมีกรุ๊ป” รถตู้โดยสารสายประจวบฯ-กรุงเทพฯ เสียชีวิตพร้อม นายบวร เกตุงาม อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/1 หมู่ 3 ต.อ่าวน้อย คนสนิทนอนตายภายในรถเก๋งฮอนด้า แอคคอร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน 6410 ประจวบคีรีขันธ์ เหตุเกิดที่บริเวณถนนข้ามฝายน้ำล้น สายคั่นกระได-บ้านบึง ด้านหน้าศาลเจ้าบ้านบึงเมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ต่อมาเวลา 05.10 น.วันนี้ (6 ต.ค.) พ.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ ชูนาค ผกก.สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดียิงเสี่ยแป๊ป คั่นกระได นำหมายค้นจากศาลประจวบคีรีขันธ์ที่ ค.877/2554 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2554 เข้าค้นบ้านพักของ นายสุภวัฒณ์ รัศมี หรือ “ผู้ใหญ่สัญ” อายุ 43 ปีผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านวังไทรติ่ง ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบอาวุธปืนจำนวนมาก
ประกอบด้วย อาวุธปืนลูกซองยาวขนาด 5 นัด ยี่ห้อเรมิงตัน ติดกล้องเลเซอร์ 1 กระบอก ลูกซองยาวขนาด 8 นัดชนิดออโตเมติก ยี่ห้อ ปราดัส 1 กระบอก ปืนไรเฟิ่ล 223 ยี่ห้อซีแซด ติดกล้องเล็งระยะไกล จำนวน 1 กระบอก ปืนพกสั้นขนาด 9 มม.ปืนพกสั้นขนาด 11 มม.ปืนสั้นขนาด .357 อย่างละ 1 กระบอก พร้อมด้วยลูกกระสุนปืนลูกซอง เบอร์ 12 จำนวน 114 นัด กระสุนปืนขนาดต่างๆ อีกกว่า 150 นัด โดยปืนทั้งหมดเป็นปืนที่มีเลขทะเบียนออกโดยนายทะเบียนอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดปืนทั้งหมดมาตรวจสอบโดยเฉพาะปืนลูกซองยาว 5 นัด และปืนลูกซองยาว ออโตเมติก 8 นัด ไปตรวจสอบที่กองวิทยาการภาค 7 เพื่อพิสูจน์กับหลักฐานที่พบในวันเกิดเหตุ พร้อมเชิญตัว นายสุภวัฒน์ นางสาวประภานิช รัศมี อายุ 36 ปี น้องสาว นายสุภวัฒน์ และ นายมนู รัศมี อายุ 38 ปีน้องชาย อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ฝ่ายปกครองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อดีตคนขับรถของรองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้นำทั้งหมดมาสอบปากคำนานกว่า 6 ชั่วโมง เบื้องต้นทั้งหมดให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 09.45 น.วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรประจวบฯ ได้เข้าค้นบ้านพักของ นายวิรัตน์ คนหลัก อายุ 54 ปี อาชีพชาวสวนที่บริเวณด้านหลังสำนักงาน อบต.เกาะหลัก อำเภอเมือง จากนั้นได้ยึดอาวุธปืนขนาด 9 มม.ไม่มีทะเบียนมาตรวจสอบ พร้อมด้วยรถกระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ ดีแมคซ์ 4 ประตู สีบรอนซ์ ทะเบียน กง 1972 ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากมีพยานบุคคลให้การกับพนักงานสอบสวนว่าเห็นรถคันดังกล่าวจอดอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเมื่อกลางดึกวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา จากนั้นได้สอบปากคำและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการดำเนินการตรวจคราบเขม่าดินปืนที่ตัวผู้ต้องสงสัย พร้อมแจ้งข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อมาเวลา 12.30 น. พล.ต.ต.วิเชียร ตันตะวิริยะ ผบก.ภ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้สั่งการให้สนธิกำลังระหว่างตำรวจ สภ.เมือง สภ.คลองวาฬ และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตำรวจตะเวนชายแดน (ตชด.) ที่ 14 ค่ายพระมงกุฎเกล้ารวมกว่า 100 นาย พร้อมอาวุธครบมือ นำโดย พ.ต.ท.มนัส รุ่งนาค รองผกก.ป.สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ นำหมายค้นที่ ค.880/2554 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2554 เข้าค้นบ้านพักของ นายประสม ใจใหญ่ หรือ “กำนันแป๊ะ” อดีตกำนันตำบลอ่าวน้อย และเป็นน้องชายนายวิเศษ ใจใหญ่ อดีต ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ 9 สมัย ที่หมู่ 3 บ้านคั่นกระได เมื่อเจ้าหน้าที่ถึงจุดหมายได้กระจายกำลังจำนวน 3 ชุด เพื่อตรวจค้นบริเวณบ้านพักซึ่งมีเนื้อที่หลายสิบไร่ แต่ไม่พบหลักฐานสำคัญเพื่อนำมาเชื่อมโยงกับคดีดังกล่าว
จากนั้นได้เชิญตัว นายประสม พร้อมด้วย นางรุ่งทิพย์ ใจใหญ่ หรือ เจ๊หมวย อดีตนายก อบต.อ่าวน้อย ภรรยา นายประสม ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบต.อ่าวน้อย หมายเลข 1 เดินทางมาที่ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ โดย พล.ต.ต.วิเชียร ได้เชิญ นายประสม และ นางรุ่งทิพย์ มาสอบปากคำที่ห้องทำงานด้วยตนเอง พร้อมด้วย พ.ต.อ.พูนศักดิ์ ประเสริฐเมธ ผกก.สภ.อ่าวน้อย ร่วมสอบโดยใช้เวลานานหลายชั่วโมง
ขณะเดียวกัน พนักงานสอบสวนได้เชิญ นายวินัย ไหลล้น หรือ นายกแขก นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กุยบุรี อ.กุยบุรี เจ้าของคิวรถตู้โดยสารสายประจวบฯ-กรุงเทพฯ ริมถนนพิทักษ์ชาติ ข้างที่ว่าการอำเภอเมืองฯ และนายอำนวย สุขกระแส ผู้ใหญ่บ้าน ตำบลหนองตาแต้ม อ.ปราณบุรี เจ้าของวินรถตู้กรุงเทพฯ-ประจวบ ข้างตู้ยามตำรวจริมถนนสละชีพ รวมทั้งลูกน้องคนสนิทของ นายสุภวัฒน์ และ นายประสม มาสอบปากคำอีกหลายสิบรายแต่รายละเอียดยังไม่เป็นที่เปิดเผย
นายสุภวัฒณ์ รัศมี เปิดเผยว่า หลังจากตำรวจเข้าค้นบ้านพักได้ให้ความร่วมมือโดยนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้นอย่างละเอียดพร้อมนำอาวุธปืนทั้งหมดที่มีหลักฐานการครอบครองไปตรวจสอบ ส่วนในวันเกิดเหตุตนสามารถยืนยันที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่บ้านพักในตำบลอ่าวน้อย ซึ่งมีหลักฐานบันทึกจากกล้องวงจรปิด
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ตนและน้องชายมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับนายเล็ก หรือ เสี่ยแป๊ป นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และส่วนตัวยังให้ความเคารพโดยเรียกนายเล็กว่าคุณอา เนื่องจากผู้ตายมีความสนิทสนมกับบิดามานาน ส่วนสาเหตุของการลงมือสังหารตนไม่ทราบ เพราะระยะหลังตนไปทำธุรกิจที่จังหวัดกาญจนบุรี จึงไม่ได้เจอกัน
ด้าน พ.ต.อ.พูนศักดิ์ ประเสริฐเมธ ผกก.สภ.อ่าวน้อย เปิดเผยว่า ก่อนสมัครรับเลือกตั้งนายก อบต.อ่าวน้อย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2554 ตนได้เตรียมที่จะเชิญ นางรุ่งทิพย์ ในฐานะอาสะใภ้กับ นายพันธุ์ศักดิ์ ใจใหญ่ หรือ กำนันดั้ม ในฐานะหลานอดีตกำนันตำบลอ่าวน้อย บุตรชายนายวิเศษ ใจใหญ่ ผู้สมัครนายก อบต.อ่าวน้อย มาเจรจาเพื่อให้ทุกฝ่ายหาเสียงด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นหลังรับสมัครเลือกตั้งเพียงวันเดียวก็ได้ยกเลิกโครงการดังกล่าว เนื่องจากตนคงเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้ ซึ่งได้แจ้งให้ทั้ง 2 ฝ่ายทราบแล้ว และขอให้หาเสียงตามกติกา หากมีปัญหาก็จะทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจล่าสุดได้เบาะแสจากพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุ ระบุว่า คนร้ายใช้รถกระบะ 3 คัน ประกอบด้วย รถอีซูซุ ดีแมคซ์ 4 ประตู ที่ขนทีมมือปืนไปลงในจุดที่เกิดเหตุหลังทำงานเสร็จ ได้ขนทีมสังหารเดินทางกลับ ส่วนรถกระบะสีดำ โตโยต้า วีโก้ เป็นรถชี้เป้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือรายงานความเคลื่อนไหวให้กลุ่มมือปืน โดยขับประกบจากถนนพิทักษ์ชาติ ในเขตเทศบาลเมืองหน้าวินรถตู้บารมีกรุ๊ปมาถึงจุดเกิดเหตุ ส่วนกระบะอีก 1 คัน จอดคุมเชิงบนถนนเพชรเกษมขาล่อง ที่จุดกลับรถบ้านบึง บริเวณปากทางเข้าถนนฝายน้ำล้น-คั่นกระได เมื่อลงมือก่อเหตุรถทั้ง 3 คันได้ขับหลนหนีไปพร้อมกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานจากพยานบุคคลเพื่อเตรียมออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับคดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นศึกสายเลือดของตระกูล “ใจใหญ่” ที่ครอบครองสนามเลือกตั้งทั้งการเมืองระดับชาติและการเมืองท้องถิ่นมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี