ฉะเชิงเทรา- ชาวนาแปดริ้วผวาน้ำไหลบ่าจากนครนายก ผสมโรงกับน้ำทิ้งจากทางภาคเหนือที่สำคัญยังมีพายุระลอกใหม่อีก 2 ลูกใหญ่ถล่มซ้ำ หวั่นผลผลิตเสียหาย จึงต้องเร่งลุยเก็บเกี่ยวข้าวเขียวหนีน้ำท่วม ทั้งที่ใกล้จะครบกำหนดเก็บเกี่ยวอีกเพียงแค่ 1 สัปดาห์
วันนี้ (29 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายวชิรกร จั่นจิตรเพชร อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/1 ม.10 ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา สมาชิก อบต.หมู่ 10 ว่า ขณะนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านกำลังเร่งช่วยกันเก็บเกี่ยวผลผลิตในนาข้าวอย่างเร่งด่วน หลังจากทราบข่าวว่า จะมีน้ำจากทางภาคเหนือระลอกใหญ่จะถูกระบายไหลลงมาสู่พื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ผ่านทางคลองชลประทานพระองค์ไชยานุชิต เพื่อปล่อยออกสู่ทะเล นอกจากนั้น ยังมีพายุลูกใหญ่ที่จะทำให้เกิดฝนตกหนักพัดผ่านเข้ามาในประเทศไทยอีก 2 ลูก คือ พายุไห่ถาง และล่าสุด คือพายุเนสาด (NESAT)
ขณะนี้ชาวบ้านต่างพากันหวั่นเกรงว่านาข้าวจะล่มจมอยู่ในน้ำ เนื่องจากระดับน้ำในลำคลองหลวงแพ่งนั้น มีระดับสูงกว่านาข้าวกว่า 1 เมตรเศษ จึงเกรงว่า คันดินที่ชาวบ้านช่วยกันออกเงินว่าจ้างรถแบ็กโฮมาทำคันคูกั้นน้ำไม่ให้ไหลบ่าออกจากลำคลองเข้าท้องนา จะรับน้ำไว้ไม่ไหวและจะพังทลายลงมา เนื่องจากจะมีน้ำในปริมาณมากถูกระบายผ่านเข้าลำคลองอีก ดังนั้น จึงต้องเร่งรีบช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นจากแปลงนาทั้งที่ยังเป็นข้าวที่ยังไม่ถึงกำหนดอายุ การเก็บเกี่ยวและรวงยังคงมีสีเขียวไม่สุกเป็นสีเหลือง ซึ่งมีที่นาติดอยู่ตามแนวชายคลองมากกว่า 200 ไร่
ด้าน นายชาญ ศรีคะโชติ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 65/2 ม.11ต.คลองหลวงแพ่ง กล่าวว่า ที่ต้องเร่งเก็บเกี่ยวข้าวออกจากแปลงนาในครั้งนี้ ทั้งที่ยังคงเหลือเวลาอีกกว่า 1 สัปดาห์กว่าข้าวจะสุกได้ที่นั้น เพราะเกรงว่าจะไม่ได้ผลผลิตเลยหากน้ำเหนือถูกปล่อยเข้ามาอีกระลอกใหญ่ ซึ่งปัจจุบัน น้ำจากพื้นที่รอยต่อจาก จ.นครนายก และ จ.ปทุมธานี ที่ชาวบ้านพากันไปพังกระสอบทรายปล่อยให้ไหลลงมาเมื่อสองวันก่อนนั้น ได้ไหลเข้ามาท่วมหมู่บ้านจนท่วมสูงกว่า 70 ซม.-1 เมตรแล้ว โดยรถยนต์แทบสัญจรไม่ได้ จึงเห็นว่าควรที่จะรีบเก็บเกี่ยวข้าวก่อนที่จะเกิดความสูญเสีย และดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
สำหรับนาแปลงนี้ตนร่วมกับพี่น้องช่วยกันทำกว่า 100 ไร่ และหากเก็บเกี่ยวข้าวได้ตามกำหนด จะได้ผลผลิตไม่ต่ำกว่าไร่ละ 1 หมื่นบาท หากถูกน้ำไหลบ่าเข้ามาท่วมจะต้องเกิดความเสียหายมากถึงกว่า 1 ล้านบาท จึงได้ตกลงกันว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตขึ้นก่อนดีกว่าไม่ได้อะไรเลยแม้ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ จะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม โดยอาจจะขายได้ในราคาเพียงประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ของราคาที่ควรจะได้รับ