เชียงราย - "เฉลิม" ประชุมสกัดกั้นยาเสพติดร่วมจังหวัดชายแดนภาคเหนือ สนใจข้อมูล “กลุ่มหน่อคำ- กาสิโนสามเหลี่ยมทองคำ” หลังพบมีส่วนเกี่ยวข้องค้ายา ประกาศเล็งเดินหน้าประสานภาคธุรกิจลงทุนพื้นที่ชายแดนพร้อมจับเข่าคุยพม่าแก้ปัญหาใน 6 เดือน พร้อมหนุนหน่วยงานจัดหาอุปกรณ์ตรวจสอบยาเสพติด มั่นใจเห็นทุกฝ่ายเอาจริงเชื่อแก้ปัญหาได้แน่
วันนี้ (24 ก.ย.) ที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท จ.เชียงราย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) เป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดภาคเหนือตอนบน ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โดยมีพล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ รักษาการ ผบ.ตร.พล.อ.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธร จาก จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เข้าร่วม
ในที่ประชุมได้จัดให้หน่วยงานแต่ละฝ่ายให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ยาเสพติด ซึ่งจากข้อมูลบ่งชี้ชัดเจนว่า ขบวนการค้ายาเสพติดยังคงมีความพยายามนำเข้ายาเสพติดประเภทต่างๆ ทั้งยาบ้า เฮโรอีน ยาไอซ์ เข้ามาตามจุดต่างๆ ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดย ร.ต.อ.เฉลิมให้ความสนใจกลุ่มติดอาวุธในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะกลุ่มของนายหน่อคำที่ออก อาละวาดยิงเรือสินค้าและเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
นอกจากนี้ รตอ.เฉลิมยังได้ซักถามถึงโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone ซึ่งมีการตั้งเป็นบ่อนกาสิโนในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว โดยกลุ่มทุนดอกงิ้วคำจากประเทศจีน บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ตรงข้าม อ.เชียงแสน เนื่องจากการข่าวระบุว่า โครงการดังกล่าวถูกใช้เป็นสถานที่ในการประสานงานและพักยาเสพติด พร้อมทั้งสั่งการให้มีการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และระบุว่าในวันที่ 25 ก.ย. จะเดินทางไปยังชายแดน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน เพื่อดูสถานการณ์บริเวณสามเหลี่ยมทองคำตรงกันข้ามกับโครงการ พร้อมทั้งกล่าวกับที่ประชุมว่าจะใช้มาตรการป้องปราม เพื่อให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบว่ารัฐบาลไทยมีข้อมูลว่าใครมีพฤติกรรมอย่างไร และพร้อมจะดำเนินการอย่างจริงจัง
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่าปัญหายาเสพติดยังคงรุนแรง โดยเฉพาะ 8 จังหวัดภาคภาคเหนือเป็นแหล่งนำเข้ายาเสพติดถึง 87% ของการนำเข้าในประเทศไทย โดย 3 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอนถือว่ารุนแรงที่สุด ซึ่งการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลชุดที่แล้วตนไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่รัฐบาลชุดนี้ภายใต้การรับผิดชอบแก้ไขปัญหาของตนจะเน้นการบูรณาการทั้ง 6 กระทรวง 20 กรมที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ มีแนวทางคือ การสกัดกั้นการนำเข้าตามแนวชายแดนให้ได้มากที่สุด การสกัดกั้นการลักลอบนำสารตั้งต้นส่งออกไปยังโรงงานผลิต การป้องกันภายในด้วยการคุมเข้มข้าราชการ โดยเฉพาะตำรวจไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้อง เน้นการยึดทรัพย์ตามกฎหมาย ปปง. การลดความต้องการซื้อหรือดีมานด์ เช่น ตรวจสถานบันเทิงทุกวันศุกร์ และการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ภายใน 6 เดือนนับจากนี้ตนจะประสานกับบรรดามหาเศรษฐีที่มีฐานะในประเทศไทย เพื่อขอให้เข้าไปร่วมลงทุนด้านการเกษตรตามพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน จากนั้นจะหารือเจรจากับรัฐบาลประเทศพม่าเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป เพราะไม่ต้องการให้การแก้ไขปัญหาเป็นแบบพายเรือในอ่าง ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาไล่จับจนผู้ต้องขังล้นเรือนจำ และยังสามารถสั่งซื้อยาเสพติดจากในคุกได้อีก
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่หลายหน่วยต้องการได้อุปกรณ์ตรวจสอบยาเสพติดนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าอุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นต้องมี เนื่องจากยาเสพติดทำลายเยาวชนไทยในแต่ละปีเสียหายไปหลายแสนล้าน การใช้งบประมาณเพื่อซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ถือว่าคุ้มค่าและแก้ไขปัญหานี้ได้มาก ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้กำหนดในเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการโดยถือเป็นวาระแห่งชาติซึ่งจากการประชุมครั้งนี้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมีความตั้งใจอย่างมาก ทำให้มั่นใจว่าสภาพปัญหาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมครั้งนี้กองกำลังผาเมืองได้รายงานสถานการณ์ว่า ปัญหายาเสพติดมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เนื่องจากชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้านยังต้องการอาวุธเพื่อคานอำนาจรัฐบาลพม่า โดยชนกลุ่มน้อยว้าแดงยังคงเป็นศูนย์กลางของขบวนการ มีเหว่ย เซียะ กัง เป็นแกนนำ ตลอดจนมีฐานการผลิตอยู่ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินใกล้เมืองปางซางหลายแห่ง
เช่น ที่บ้านม่วนแสง บ้านนารอด เป็นต้น ส่วนตะเข็บชายแดนมีโรงงานผลิตอยู่ตรงกันข้าม จ.แม่ฮ่องสอน 4 แห่ง เชียงราย 2 แห่งและเชียงใหม่ 4 แห่ง รวมทั้งพบว่ามีการปลูกฝิ่นเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยมีไร่ฝิ่นกว่า 2-3 หมื่นไร่ ทำให้เก็บผลิตได้กว่า 60-70 ตัน ซึ่งฝิ่นเหล่านี้สามารถนำไปผลิตเฮโรอีนได้ถึง 6-7 ตัน
สำหรับการนำยาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทย กลุ่มว้าแดงจะจัดให้ชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ทำการขนเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมูเซอ ม้ง อาข่า จีนฮ่อ เป็นต้น โดยมีการแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาได้จัดให้กลุ่มมูเซอและม้งทำการขน ส่วนจีนฮ่อประสานตลาดต่างประเทศ แต่เนื่องจากเครือข่ายม้งถูกจับกุมมากขึ้น กลุ่มว้าแดงจึงหันไปใช้กลุ่มอาข่าแทน ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวอยู่
ขณะที่การลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาของกลุ่มขบวนการในปี 2553 จะใช้กลุ่มคน 5-30 คนพร้อมอาวุธครบมือ โดยก่อนขนจะสำรวจเส้นทางหลายสิบรอบ และจะสำรวจถี่ขึ้นในช่วง 3-5 วันก่อนขนจริง โดยบางครั้งจะปล่อยสุนัขไปตามรายทาง หากพบความผิดปกติจะหยุดขนทันที และถ้าเส้นทางปลอดโปร่งจะขนครั้งละมากๆ ส่วนในปี 2554 พฤติกรรมการลักลอบขนยาเสพติดได้ปรับเปลี่ยนไป โดยหันมาใช้คนน้อยเหลือเพียง 1-2 คน ขนยาเสพติดครั้งละ 1-2 หมื่นเม็ดโดยมักปลอมว่าเป็นของป่าหรืออื่นๆ แล้วลัดเลาะไปตามป่าเขาแทน