พิจิตร - เมืองชาละวัน เจอน้ำหลากจากทุกทิศ ทั้งด้านเหนือ ตะวันออก ตะวันตก แถมได้รับผลกระทบจากการพร่องน้ำของเขื่อนสิริกิติ์-เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนซ้ำ ล่าสุด ผู้ว่าฯประกาศให้ 12 อำเภอ เป็นเขตภัยพิบัติแล้ว พร้อมย้ำชาวบ้านยังต้องระวังน้ำท่วมต่อเนื่อง
วันนี้ (26 ส.ค.) นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำท่วมของจังหวัดพิจิตร ว่า ขณะนี้ถึงจุดวิกฤตแล้ว เพราะด้านทิศเหนือ คือ อ.สามง่าม และ อ.วชิรบารมี ได้มีน้ำไหลบ่ามาจาก จ.สุโขทัย และ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เป็นน้ำระลอกใหญ่มีปริมาณมาก จึงส่งผลให้แม่น้ำยม เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือน และไร่นาได้รับความเสียหาย
ส่วนทิศตะวันออกก็มีน้ำป่าจากเทือกเขาวังทอง และน้ำจาก อ.วังโป่ง เทือกเขาเพชรบูรณ์ก็ไหลมาเข้าท่วมเขต อ.สากเหล็ก อ.วังทรายพูน อ.ทับคล้อ อ.ดงเจริญ ทำให้เกิดน้ำท่วมแผ่เป็นวงกว้าง เพราะน้ำไหลลงแม่น้ำน่านไม่ได้ จึงทำให้น้ำล้นตลิ่งที่ อ.บางมูลนาก ระดับน้ำสูงกว่าตลิ่งมากกว่า 1 เมตร เข้าท่วมชุมชน
ทางด้านทิศตะวันตก ก็มีน้ำป่าจากแม่น้ำปิง จ.กำแพงเพชร ก็ไหลล้นคลองท่อทองแดงและคลองวังยางไหลเข้าท่วมเขต อ.บึงนารางและ อ.โพธิ์ประทับช้าง จึงทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก
อีกทั้ง 3 วันที่ผ่านมาเขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนแควน้อย ก็พร่องน้ำเหนือเขื่อนลงมาเติมในแม่น้ำน่านอีก
จึงทำให้ขณะนี้ต้องประกาศพื้นที่ภัยพิบัติอุทกภัยน้ำท่วมใน 12 อำเภอของจังหวัดพิจิตร และขอเตือนประชาชนว่า ยังจะต้องรับมือกับน้ำที่จะต้องท่วมสูงไปกว่านี้อีก เนื่องจากน้ำทางภาคเหนือและน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อย จะยังคงไหลมาอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของความเสียหาย นายณรงค์ พลอาจ นายก อบต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เปิดเผยว่า ในหลายหมู่บ้านที่อยู่ในความดูแลของตนขณะนี้ก็ได้ถูกน้ำท่วมแล้วทั้งบ้านเรือน และไร่นา ซึ่งขณะนี้สิ่งที่ทำได้คือพยายามเอากระสอบทรายวางอุดทางน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมนาข้าวที่เหลืออีกแค่ 10 กว่าวัน ก็จะได้เก็บเกี่ยว แต่ถ้าน้ำมาทุกทิศทุกทางอย่างนี้คงยากที่จะต้านทาน แต่ก็ต้องสู้เพื่อชาวบ้านจนวินาทีสุดท้าย ซึ่งถ้าสู้ไม่ไหวนาข้าวนับพันไร่มูลค่าเป็นร้อยล้านบาทคงต้องหายนะ เพราะภัยพิบัติน้ำท่วมในครั้งนี้อย่างแน่นอน
