อุบลราชธานี - “ยิ่งลักษณ์” บินด่วนดูน้ำท่วมอุบลราชธานี พร้อมประชุมกับผู้ว่าฯ 9 จังหวัดอีสาน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ก่อนสั่งให้เร่งบูรณะเส้นทางคมนาคมที่ถูกตัดขาด และช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมเต็มที่
วันนี้ (14 ส.ค.) ที่หอประชุมโรงเรียนมัธยมโขงเจียมวิทยาคม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศมาพบชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากน้ำแม่น้ำโขงหนุนสูง ไหลท่วมพื้นที่ใน อ.โขงเจียม โดยเฉพาะในชุมชนเทศบาลตำบลบ้านด่านที่มีบ้านเรือนประชาชนถูกน้ำท่วมจำนวน 144 ครอบครัว
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวกับประชาชนที่มารอรับกว่า 500 คน ว่า รัฐบาลจะให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ จากนั้นได้มอบถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านด่าน และอีก 4 ตำบลใน อ.โขงเจียม ที่ถูกน้ำในลำห้วยตุงลุง ลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล และน้ำโขงหนุนท่วมเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 1,500 ชุด
จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 9 จังหวัดภาคอีสาน ที่มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมขณะนี้ เพื่อร่วมบูรณาการความช่วยเหลือประชาชนที่บ้านเรือนที่พักอาศัย และพื้นที่เกษตรกรรมถูกน้ำท่วม โดยใช้เวลารับฟังรายงานและประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า สภาพน้ำท่วมในภาคอีสาน ปัจจุบันระดับน้ำเริ่มลดลง และการเดินทางมาครั้งนี้ จะมาดูแลว่าจะปรับสภาพให้การช่วยเหลืออย่างไร เพราะบางจังหวัดมีปัญหาเรื่องเส้นทางคมนาคม จึงต้องเร่งรัดซ่อมแซมเส้นทางให้เปิดใช้การได้ ส่วนพื้นที่ที่เสียหายจากน้ำท่วมของประชาชน จะต้องดูว่าให้การช่วยเหลือชดเชยอย่างไร
ส่วนการบริหารจัดการน้ำตามลุ่มน้ำที่ทำให้พี่น้องประชาชน จะเอาไปหารือทำเวิร์กชอป เพื่อใช้บริหารจัดการ โดยไม่มองเฉพาะภาคอีสานเพียงพื้นที่เดียว ขณะนี้มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบริหารจัดการในระดับจังหวัดให้เต็มที่ ส่วนรัฐบาลจะดูว่าในส่วนใดที่ต้องเร่งรัดให้การช่วยเหลือก็จะรับไปดำเนินการ
ต่อข้อถามว่าได้สั่งการเป็นอะไรพิเศษ ถ้าทางการจีนปล่อยน้ำออกจากเขื่อนแม่น้ำโขงในขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงเป็นเรื่องของกรมชลประทานที่ต้องเข้ามาบริหารการจัดการน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งในแม่น้ำโขง
สำหรับสภาพน้ำท่วมในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งจากลำน้ำสาขาแม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง จำนวน 9 อำเภอ 414 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 16,250 ครัวเรือน มีผู้ป่วยขอรับบริการตรวจรักษาจากหน่วยงานสาธารณสุขวันละประมาณ 500 ราย