ศูนย์ข่าวศรีราชา - “ฉวีวรรณกรุ๊ป” พร้อมขยายการลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มจำนวนเครื่องจักรกล และขยายพื้นที่ฟาร์ม ขยายกำลังผลิตไก่สุกจาก 1.2-1.3 แสนตัวต่อวัน เป็น 1.5 แสนตัวต่อวัน ชี้ขีดความสามารถในการส่งออกเนื้อไก่จากไทยไปต่างประเทศยังมีสูง แต่ติดอยู่ที่สนธิสัญญาการค้าซึ่งรัฐบาลผ่านๆ มา ยังไม่สามารถขยายตลาดทั้งในประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศแถบตะวันออกกลางได้
นางฉวีวรรณ คำพา ประธานกรรมการ บริษัท ฉวีวรรณฟาร์ม จำกัด เผยว่า การเติบโตของตลาดส่งออกเนื้อไก่สุกจากไทยไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบยุโรปและอังกฤษที่มีความต้องการเนื้อไก่จากไทยอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แนวโน้มการส่งออกเนื้อไก่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในเวียดนามและกัมพูชา ก็มีทิศทางที่จะเป็นไปได้หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาเพื่อทำความเข้าใจด้านสนธิสัญญาทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศได้ ทำให้ในวันนี้กำลังผลิตไก่สุกที่กลุ่มโรงงานในเครือฉวีวรรณ กรุ๊ป ทำได้เฉลี่ย 1.2-1.3 แสนตัวต่อวัน ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ
บริษัทจึงมีแผนที่จะขยายการลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเครื่องจักรและขยายพื้นที่ฟาร์มให้สามารถผลิตไก่สุก และเนื้อไก่สุกป้อนตลาดให้ได้ไม่น้อยกว่า 1.5 แสนตัวต่อวัน
“ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากมองถึงการขยายตัวและความต้องการของตลาดเราน่าจะขยายการลงทุนเพิ่มได้สูงสุดถึง 500 ล้านบาท แต่ปัญหาของการประกอบธุรกิจไก่สุก และการผลิตเนื้อไก่สุกของไทย ก็คือ การไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากแบงก์พาณิชย์ เพราะสถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังเข้มงวดกับการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ จากผลกระทบของการเกิดไข้หวัดนกในช่วงหลายปีก่อนที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางธุรกิจเป็นอย่างมาก ในวันนี้การลงทุนของเราจึงเป็นไปในลักษณะของการใช้ทุนที่มีอยู่ทำให้การลงทุนเป็นไปในลักษณะค่อยๆ ทำ”
นางฉวีวรรณ ยังเผยถึงราคาส่งออกเนื้อไก่จากไทยในปัจจุบัน ที่ถือว่าถูกกว่าประเทศคู่แข่ง ทั้ง บราซิล อเมริกา และ จีน ขณะที่มาตรฐานด้านความปลอดภัยในขั้นตอนการผลิต และมาตรฐานด้านอาหารจากไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศคู่ค้า จึงทำให้เนื้อไก่สุกและไก่สุกจากไทย ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด ติดแค่เพียงปัญหาด้านสนธิสัญญาทางการค้า ที่ทำให้ไทยยังไม่สามารถขยายตลาดส่งออกได้ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันออกกลาง ที่ปัจจุบันแม้ไทยจะมีความพร้อมด้านการผลิตอาหารฮาลาล แต่ก็ยังไม่สามารถส่งออกได้ เพียงเพราะทีมเจรจาทางการค้าของไทยยังอ่อนเกินไปในเวทีตลาดโลก
