ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ชาววังน้ำเขียวกว่า 300 คน ชุมนุมขอความเป็นธรรมพร้อมยื่นหนังสือ ผ่าน “ส.ส.” ถึงรัฐบาลใหม่ ให้ลงมาแก้ปัญหาความเดือดร้อน กรณีจนท.รัฐทั้งป่าไม้ -อุทยานฯ และ ส.ป.ก.กล่าวหาไล่รื้อสิ่งปลูกสร้างบุกรุกป่าอย่างหนัก ระบุ ชาวบ้านหวาดวิตก ไม่มีความมั่นใจในการประกอบอาชีพ ต้องตกงานจากการปิดรีสอร์ต นักท่องเที่ยวเผ่นหนีขายสินค้าเกษตรไม่ได้และตกเป็นจำเลยของสังคม จนท.รัฐดูถูกขับไล่เหมือนชนกลุ่มน้อย ด้าน ส.ส.ลั่นหากรัฐดึงดันยึดกม.ไล่รื้อท่าเดียว ชาวบ้านอาจทนไม่ไหวออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ ชี้ ทุกฝ่ายต้องมาหาทางออกของปัญหาร่วมกัน
วันนี้ (31 ก.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่บริเวณตลาดชุมชน กม.79 ถ.ราชสีมา -กบินทร์บุรี ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว นครราชสีมา ชาวบ้านใน อ.วังน้ำเขียว กว่า 300 คน นำโดย นายสมศักดิ์ โจษกลาง อายุ 47 ปี กำนันตำบลวังหมี อ.วังน้ำเขียว ได้รวมตัวกันชุมนุมหลังได้รับความเดือดร้อนกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐทั้งป่าไม้, อุทยานแห่งชาติ และ ส.ป.ก.ได้กล่าวหาและดำเนินการไล่รื้อสิ่งปลูกสร้างที่บุกรุกป่าเป็นจำนวนมากอยู่ในขณะนี้
โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ ยื่นหนังสือพร้อมลายมือชื่อของประชาชนกว่า 1,000 คน เพื่อขอความเป็นธรรมในการตรวจสอบและกำหนดแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ผ่าน นายประนอม โพธิ์คำ ส.ส.นครราชสีมา เขต 12 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งเป็น ส.ส.ในพื้นที่ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลใหม่ให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนชาว อ.วังน้ำเขียว อย่างเร่งด่วนต่อไป
นายสมศักดิ์ โจษกลาง กำนันตำบลวังหมี อ.วังน้ำเขียว แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวว่า หลังจากมีข่าวการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐในการแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้บุกรุกพื้นที่ป่าไม้ อ.วังน้ำเขียว นั้นได้สร้างผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ขณะนี้ชาวบ้านตื่นกลัวจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐพกพาอาวุธเข้าไปปิดป้ายประกาศให้รื้อถอนสิ่งปลูกสิ่งตามสถานที่ต่างๆ ต้องตกงานจากการปิดกิจการของรีสอร์ต บ้านพัก และ สินค้าเกษตร เช่น ผักปลอดสารพิษ เห็ดหอม หน่อไม้ และสินค้าอื่นๆ ขายไม่ได้เพราะนักท่องเที่ยวหวาดวิตกไม่เดินทางมาเข้ามาท่องเที่ยวเช่นเดิม
อีกทั้งทำให้ชาวบ้านขาดความมั่นใจในการประกอบอาชีพ เกิดความแตกแยกจากการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ที่สำคัญพวกเราไม่มั่นใจในการแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่รัฐ และชาว อ.วังน้ำเขียวยังตกเป็นจำเลยทางสังคม ถูกขับไล่เหมือนชนกลุ่มน้อยและถูกดูถูกว่าเป็นกระทิงจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ฉะนั้น จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐมีความจริงใจในการดำเนินการ และเห็นใจชาวบ้านที่อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่มานาน อยากให้มีความชัดเจนในแนวทางการปฏิบัติเพื่อชาวบ้านจะได้สบายใจ และไม่อยู่อย่างหวาดระแวง วันนี้จึงเดินทางมายื่นหนังสือเรียกร้องไปยังรัฐบาลใหม่ให้ลงมาดูปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน
ด้าน นายประนอม โพธิ์คำ ส.ส.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ผลกระทบที่เกิดจากการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เกิดผลเสียต่อ อ.วังน้ำเขียว อย่างมาก ทั้งที่ข้อพิพาทเป็นคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แต่นำมาปัดฝุ่นหรือรื้อมาเริ่มใหม่ สร้างความสับสนให้กับประชาชนนักท่องเที่ยวตกใจไม่กล้ามาท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของท้องถิ่นได้รับความเสียหายทั้งระบบ ไม่เฉพาะ เจ้าของสถานที่พักเพียงอย่างเดียว แต่พืช ผัก ผลไม้ ปลอดสารพิษ ของพี่น้อง เกษตรกร ก็ขายไม่ได้ ลูกจ้างที่ทำงานในรีสอร์ต ต้องหยุดงานชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไป เมื่อปี 2521 ยุคนั้น อ.วังน้ำเขียว เป็นตำบลหนึ่งในเขตปกครองของ อ.ปักธงชัย ยังไม่แยกออกจากกัน มีชาวบ้านเข้าไปจับจองที่ดินทำกิน ส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพด ก่อนที่อุทยานแห่งชาติ จะประกาศแนวเขตพื้นที่ ซึ่งทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน จึงได้เรียกร้องให้ กรมป่าไม้ ลงพื้นที่พิสูจน์ปักแนวเขตใหม่แต่ก็ไม่มีการดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ที่เคยเป็นป่าเสื่อมโทรม ภาครัฐก็มอบสิทธิการครอบครองให้กับชาวบ้านแต่กลับออกมาอ้างการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ ขู่ว่าจะเอาที่ดินคืน
จึงขอให้ผู้รักษากฎหมาย ย้อนกลับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการทำการเกษตรอย่างเดียวไม่ใช่จะมีกำไรหรือสร้างรายให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้ ซึ่งเดิมทีชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรเชิงเดี่ยว เช่น ปลูกข้าวโพด แต่รายได้น้อยสู้การทำโฮมสเตย์ หรือ รีสอร์ตไม่ได้ จึงมีชาวบ้านส่วนหนึ่ง กู้เงินมาลงทุนเปลี่ยนอาชีพตามศักยภาพของพื้นที่ซึ่งมีผืนป่าโอบล้อม มีอากาศบริสุทธิ์อันดับ 7 ของโลกและตั้งอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
นายประนอม กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากกรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่รัฐยึดข้อกฎหมายดำเนินการแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมฟังเสียงของชาวบ้าน ซึ่งเขาอยู่อาศัยมาก่อนที่จะประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ และพวกเขาลงทุนไปมากแล้วจะมารื้อ หรือไล่ออกก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา สร้างความกดดันให้กับชาวบ้านซึ่งพวกเขาอาจจะทนไม่ได้รวมตัวกันเคลื่อนไหวเข้มข้นมากขึ้นอีก
“ในฐานะที่เป็น ส.ส.ในพื้นที่ เป็นตัวแทนประชาชนจะเร่งนำปัญหา และข้อเรียกร้อง เสนอให้รัฐบาลใหม่ ดำเนินการหาข้อยุติของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยใช้ อ.วังน้ำเขียวเป็นต้นแบบให้กับที่อื่นๆ ทั่วประเทศด้วย ซึ่งกรมป่าไม้ ฝ่ายปกครอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพี่น้องประชาชน ต้องหันมาพูดคุยกันเพื่อสรุปหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน หากยังใช้หลักการของแต่ละองค์กรแก้ปัญหา ซึ่งมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน ก็จะไม่ได้ข้อยุติ” นายประนอม กล่าว