ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
ระเบิดน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ค้นพบในรีสอร์ตแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อไม่นานมานี้ เป็นการค้นพบก่อนที่จะถูกแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบนำไปก่อวินาศกรรมในเมืองหาดใหญ่
อันถือเป็นโชคดีที่เมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าและการลงทุนของภาคใต้แห่งนี้ รอดพ้นจากระเบิดลูกนั้นมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เสียงระเบิดห่างหายไปจากเมืองหาดใหญ่กว่า 2 ปีมาแล้ว
ประเด็นที่ควรต้องขบคิดต่อคือ “รีสอร์ต” ใน อ.หาดใหญ่ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ใน จ.สงขลา ในระเวลา 4-5 ที่ผ่านมาได้ผุดกันเป็นดอกเห็ด จากการสำรวจพบว่ามีรีสอร์ตเกิดขึ้นมาในทุกพื้นที่ของ จ.สงขลา แม้แต่ อ.ควนเนียง อ.บางกล่ำ อ.รัตภูมิ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ก็ยังมีรีสอร์ตเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
รีสอร์ตในพื้นที่ จ.สงขลามีอยู่ 3 รูปแบบคือ 1.อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว เช่น ริมทะเลอย่างที่ อ.จะนะ อ.เทพา อ.สทิงพระ หรือริมทะเลสาบสงขลาอย่างที่เกาะยอ อ.เมืองสงขลา เป็นต้น แน่นอนว่ารีสอร์ตเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ไม่มีเจตนาแอบแฝงอื่นใด
2.สร้างอยู่ในเขตเทศบาลต่างๆ ซึ่งพบมากที่สุดในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ รีสอร์ตเหล่านี้ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว รวมถึงผู้คนที่ต้องการเช่าห้องพักชั่วคราวที่ราคาถูกกว่าโรงแรม โดยเฉพาะเป็นที่นิยมของกลุ่มคนที่ชอบ “ทำกิจกรรมพิเศษ” รวมถึง “กิจกรรมผิดกฎหมาย” ซึ่งกลุ่มแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบจากในชายแดนใต้ และกลุ่มผู้ค้าเสพยาเสพติดก็นิยมใช้บริการรีสอร์ตเหล่านี้เป็นที่นัดพบ ขณะที่ผู้เสพก็มักใช้จัดปาร์ตี้ยากันบ่อยๆ โดยที่ผ่านมาตำรวจสามารถจับกุมแก๊งยาเสพติด ทั้งจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และจากพื้นที่อื่นๆ ได้เป็นจำนวนไม่น้อย
และ 3.กระจายอยู่ในอำเภอรอบนอก เช่น อ.ควนเนียง อ.บางกล่ำ อ.รัตภูมิ อ.สะเดา และอื่นๆ ที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญแต่อย่างใด ผู้ที่เข้าไปใช้บริการส่วนใหญ่จึงเน้นในเรื่องเพศสัมพันธ์ ที่ต้องการหลบซ่อนสายตาของผู้คน แต่ก็เป็นที่นิยมใช้บริการของกลุ่มคนที่มีธุรกิจผิดกฎหมายเป็นด้านหลักอีกด้วย
แน่นอนว่าไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการหรือเจ้าของ เพราะผู้ไปใช้บริการรีสอร์ตไม่ได้ติดตราที่หน้าผากว่า เป็นผู้กระทำสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ ส่วนเจ้าของก็ทำหน้าที่ให้บริการและเก็บเงินเท่านั้น ส่วนภายในห้องพักจะดำเนินไปอย่างไรเจ้าของย่อมไม่เกี่ยวข้อง ตราบใดที่ห้องพักไม่ได้รับความเสียหาย
แต่ในฐานะที่ จ.สงขลา โดยเฉพาะพื้นที่ อ.หาดใหญ่คือ เป้าหมายหลักที่แนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ต้องการก่อวินาศกรรม เช่น ก่อวินาศกรรมสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ หรือย่านการค้า ย่านบันเทิงบริเวณ ถ.นิพัทธ์อุทิศ และ ถ.เสน่หานุสรณ์ อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และยังความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สินและเศรษฐกิจโดยรวมจนยากประเมินค่าเสียหาย อันทำให้เมืองหาดใหญ่บอบช้ำอย่างยิ่งมาโดยตลอด
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจและฝ่ายปกครอง ต้องดำเนินการจัดระเบียบรีสอร์ตทั้งหมดใน จ.สงขลาให้ถูกต้อง เช่น การขออนุญาตให้ถูกต้อง จัดทำทะเบียนของผู้พักว่าเป็นใคร มาจากไหน หรือรถยนต์ที่ใช้ ทะเบียนอะไร รวมทั้งการขอร้องให้มีกล้องวงจรปิดในสถานที่สำคัญๆ เพื่อบันทึกภาพของผู้เข้ามาพัก เพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบ หรือติดตามคนร้าย ไม่ว่าจะเป็นแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือเป็นขบวนการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ แก๊งต้มตุ๋นและอื่นๆ เป็นต้น
เพราะทุกวันนี้รีสอร์ตส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่อยู่นอกเขตเทศบาลนครหาดใหญ่กำลังเป็นที่นิยมของผู้เข้าพัก เนื่องจากว่าเจ้าของจะไม่ได้ตรวจบัตรประชาชน ไม่มีการลงทะเบียนผู้เข้าพักเหมือนกับโรงแรม ทำให้ไม่มีหลักฐาน จึงเป็นเรื่องที่กลุ่มนอกกฎหมายต่างพอใจ เพราะหากเกิดอะไรเรื่องขึ้นเจ้าหน้าที่ก็ยากจะติดตามจับกุม
ถ้าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะตำรวจและปกครองยังไม่สนใจจัดระเบียบรีสอร์ตเหล่านี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วที่ขึ้นป้ายว่าเป็นรีสอร์ตนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วหลายแห่งก็เป็นได้แค่เพียงโรงแรมม่านรูดดีๆ นี่เอง หากยังไม่ใช้กฎหมายเข้าไปควบคุม ต่อไปกลุ่มก๊วนพวกนอกกฎหมายก็จะอาศัยเป็นที่ทำมาหากินมากขึ้น โดยเฉพาะแกนนำหรือแนวร่วมขบวนการจาก 3 ชายแดนใต้ก็จะใช้เป็นที่นัดพบ วางแผน รวมถึงใช้เป็นที่ประกอบระเบิดเพื่อนำไปก่อวินาศกรรมตามจุดที่ต้องการได้อย่างง่ายดายไปเรื่อยๆ
ที่เพิ่งผ่านมาตำรวจอาจโชคดี ที่สามารถตรวจพบระเบิดที่เตรียมไว้ก่อวินาศกรรมเมืองหาดใหญ่ในรีสอร์ตแห่งนั้นเสียก่อน หายนะจึงยังไม่เกิดขึ้น แต่ตำรวจจะไม่มีทางโชคดีได้ทุกครั้ง เนื่องจากจำนวนรีสอร์ตเกือบ 100 แห่ง ที่รายล้อมเทศบาลนครหาดใหญ่มีมากเกินกว่าที่ “สาย” ของตำรวจจะดูแลอย่างทั่วถึง
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ รีสอร์ตเหล่านี้จำนวนมากกว่าครึ่งมีเจ้าของเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งที่เป็นตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง อันทำให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องมีหน้าที่เกี่ยวข้อง ต่างไม่กล้าไปตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ
ดังนั้น ตำรวจและฝ่ายปกครอง ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมดูแลโรงแรม หอพัก บ้านเช่า รวมถึงรีสอร์ตที่ว่านี้ จะต้องบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าไปจัดระเบียบให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งต้องทำให้รีสอร์ทเหล่านี้เสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
หากทุกฝ่ายยังมองไม่เห็นถึงสัญญาณอันตราย และยังปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้ โดยมองแต่ประโยชน์ด้านธุรกิจการค้าเพียงอย่างเดียว ในอนาคตรีสอร์ตหรือม่านรูดเหล่านี้จะกลายเป็นสถานที่ “เพาะอาชญากรรม” ที่ยิ่งใหญ่ในทุกรูปแบบ โดยไม่ใช่เฉพาะเพียงแต่ในเรื่องของกลุ่มขบวนการจากชายแดนใต้ที่ใช้เป็นสถานที่ซุกระเบิดไว้ก่อวินาศกรรมเท่านั้น
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่สังคมไทยควรจะ “ตัดไฟแต่ต้นลม” โดยต้องหยุดพฤติกรรม “วัวหายแล้วล้อมคอก” เสียที เพราะมันไม่คุ้มกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นเลย