ศูนย์ข่าวศรีราชา-“Capp Group” เปิดตัวสมุนไพรลูกผสมหัวคิดคนไทย CAPPRA ยาแคปซูลบำรุงความซู่ซ่าสุภาพบุรุษในพื้นที่เมืองพัทยา เชื่อกำลังซื้อภาคตะวันออกยังมีสูง ตั้งเป้าเปิดตัวตามหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่พร้อมกระจายตามร้านขายยาทั่วประเทศ โดยส่งออกขายในหลายประเทศแถบเอเชียแล้ว และคาดว่าในอีก 1 ปีจะสามารถเจาะตลาดยุโรปได้อย่างแน่นอน
ดร.นำกฤติ จีรพุทธิรักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.เอ.พี.พี.กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์สมุนไพรลูกผสม CAPPRA ยาบำรุงศักยภาพสำหรับท่านชาย เผยถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ CAPPRA ในพื้นที่เมืองพัทยา หลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาแล้วในเขตกรุงเทพฯว่า เพราะเชื่อในศักยภาพที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของจังหวัดทางภาคตะวันออก ซึ่งมีจุดขายโดดเด่นที่การเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นที่ได้ยอมรับในระดับสากลและได้รับการยกยกให้เป็นนวัตกรรมระดับศาสตร์สมุนไพรตะวันออก
ที่ผ่านมา ทีมวิจัยจากสถาบัน CIRD ได้ร่วมกับหน่วยงานภาควิชาการของรัฐในการพัฒนาสมุนไพรตะวันออก และค้นคว้าจน ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐานระดับโลก ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ CAPPRA ถือเป็นสมุนไพรลูกผสม ที่เกิดจากสมุนไพรไทยและสมุนไพรจากต่างประเทศ โดยมีโรงงานผลิตในประเทศที่สามารถผลิตยาสมุนไพรบำรุงร่างกายที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ 100 % ซึ่งจะเห็นผลชัดในผู้ชายและไม่มีอันตรายต่อผู้หญิง เพราะจะช่วยในการบำรุงการไหลเวียนของเลือดและบำรุงไต
นอกจากนั้น กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.เอ.พี.พี.กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ยังกล่าวถึงการเติบโตทางธุรกิจว่า มีแนวโน้วสดใสเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และในอนาคตอันใกล้ยังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต, เกาะสมุย, เชียงใหม่ และขอนแก่น
ทั้งนี้ ได้มุ่งเน้นไปที่ตลาดในหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญและหัวเมืองใหญ่ประมาณ 70-80 % ของเป้าหมายการตลาดทั้งหมด ส่วนที่เหลือจะส่งจำหน่ายในร้านยาชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงบูทส์ วัตสันและเมดิกกรุ๊ป และยังจะผลักดันเข้าสู่สถานพยาบาลและโรงพยาบาลทั่วประเทศ เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลได้สนับสนุนเรื่องการพัฒนายาสมุนไพรไทย และผลิตภัณฑ์ CAPPRA ก็ถือว่าได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย 100 %
“ตอนนี้เราส่งขายในประเทศแถบอินโดจีนเกือบทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและประเทศตะวันออกกลาง และในปีนี้จะทุ่มงบประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อโฆษณาทั้ง ป้ายคัตเอาท์ บิลบอร์ด และสปอตโฆษณาตามคลื่นวิทยุชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ และอีกประมาณ 1 ปีจะทำตลาดในประเทศแถบกลุ่มยุโรปต่อไป ” ดร.นำกฤติ กล่าว