xs
xsm
sm
md
lg

จนท.เข้าช่วยยายวัย 73 ปี พิการตา 2 ข้าง นอนอดอาหาร-โดนมดกัดตาจนเลือดไหล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พระนครศรีอยุธยา - เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ รพ.พระนครศรีอยูธยา เข้าช่วยเหลือยายวัย 73 ปี พิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง นอนอดอาหารมาหลายวัน และโดนมดกัดตาจนเลือดไหล เผยไร้ญาติพี่น้องคอยดูแล

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (19 เม.ย.) เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์กู้ชีพจากโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เข้าช่วยเหลือ นางสัมพันธ์ หรือ ยายบุญมา เริงใจ อายุ 73 ปี ที่บ้านเลขที่ 47/2ม.7ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อนำส่งโรงพยาบาลอยุธยา

ทั้งนี้ เนื่องจาก ยายบุญมา พิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง และป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม ไร้ญาติพี่น้องและลูกหลานดูแล และอดข้าวมาแล้วหลายวัน นอนอยู่บ้านคนเดียวภายในบ้าน จนมดกัดตายายบุญมา จนเลือดออกตาทั้งสองข้าง โชคดีที่มีประชาชนแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบ และได้เข้าช่วยเหลือได้ทัน

พ.อ.อ.สุวัฒน์ สรรพโกศลกุล รองนายกเทศมนตรีนครพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ภายหลังจากที่ตนพร้อมประธานชุมชนบ้านเกาะ ประธานชุมชนวัดป่าโค และชาวบ้าน เข้าไปยังบ้านเลขที่ 47/2 ม.7 ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ของนางสัมพันธ์ เริงใจ ตาบอดทั้งสองข้างและยังป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และโรคเบาหวาน หลังจากที่ทราบว่านางสัมพันธ์นอนอยู่ในบ้านคนเดียวโดยไม่รับประทานอาหารมานาน 8 วันแล้ว เนื่องจากชาวบ้านที่เคยให้อาหารไม่อยู่ไปต่างจังหวัด

เมื่อขึ้นไปบนบ้านพบว่านางสัมพันธ์ นอนหายใจรวยรินไม่มีการตอบสนอง มีเพียงน้ำตาไหลออกมาแสดงถึงการรับรู้ เมื่อชาวบ้านได้แสดงความเป็นห่วง นอกจากนี้ ยังพบว่าตามร่างกายของนางสัมพันธ์ มีแผลตามส่วนต่างๆทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะที่หลังและแขน ซึ่งเป็นแผลกดทับทำให้มีมดจำนวนมากมารุมกัดตาเป็นแผลอย่างน่าเวทนา ชาวบ้านและอาสาสมัครเทศบาลจึงได้ช่วยกันเช็ดตัวทำความสะอาดตามร่างกาย

นายสุรวิทย์ จะเรารัมย์ อายุ 37 ปี บ้านอยู่ติดกัน เปิดเผยว่านางสัมพันธ์ เคยเล่าให้ฟังว่าตาบอดมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ต่อมามีสามีชื่อนายแฉล้ม ซึ่งเสียชีวิตไปประมาณ 10 กว่าปีแล้ว นางสัมพันธ์จึงอยู่คนเดียวในโลกมืดมาตลอด โดยได้ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงมาคอยดูแล เอาข้าวน้ำมาให้ และทางเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา นำไฟฟ้ามาติดตั้งให้เพื่อให้ใช้หุงต้มอาหาร จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว นางสัมพันธ์ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ชาวบ้านจึงพาไปส่งโรงพยาบาลและแพทย์ได้ตัดนมข้างขวาออกไป

เมื่อกลับมาก็มีอาการทรุดลงเรื่อยๆ ไม่มีใครดูแล จึงเกิดแผลกดทับเนื่องจากเป็นโรคเบาหวานด้วย แต่ก็มีเพื่อนบ้านมาคอยดูแลให้น้ำให้ข้าวประจำ จนกระทั่งเมื่อช่วงก่อนสงกรานต์คนที่เคยมาให้ข้าวให้น้ำไปต่างจังหวัด ไม่มีใครคอยดูแล ตนจึงพยายามที่จะเอาข้าวให้รับประทานแต่นางสัมพันธ์ก็ไม่รับรู้อะไร เป็นเวลาประมาณ 8 วันแล้ว ที่ต้องนอนอยู่อย่างนี้ ทำให้มีแผลและมีมดกัดเป็นที่เวทนา

พ.อ.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตนได้เข้ามาดูแลอยู่เป็นประจำ ทราบว่าไม่มีใครมาดูแล เนื่องจากนางสัมพันธ์ไม่มีญาติ ล่าสุดนี้นางสัมพันธ์บอกว่าอยากได้น้ำประปา เนื่องจากไม่มีน้ำใช้ จึงเข้ามาสำรวจพื้นที่ แต่ก็ทราบว่านางสัมพันธ์อาการไม่ดี ซึ่งทราบว่าชาวบ้านก็พาไปโรงพยาบาลแต่โรงพยาบาลให้กลับมาเพราะเห็นว่าสภาพไม่ไหว ตนกำลังจะประสานกับพัฒนาสังคมและโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อหาทางช่วยเหลือระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ยอมรับว่าต้องปล่อยให้นอนอยู่คนเดียว เพราะไม่มีใครมาดูแลจริงๆ ตอนที่ทางเทศบาลและหน่วยงานต่างได้ยืนมือนำสิ่งของมาช่วยเหลือ ก็มีคนอ้างเป็นญาติมารับของที่ช่วยเหลือไป แต่ไม่ได้มาดูแล

ด้านนางเสงี่ยม กองแก้ว อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/18 ม.7 ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่บ้านใกล้กับนางสัมพันธุ์ เล่ากับผู้สื่อข่าวว่า ตนและลูกสาวช่วยส่งข้าวส่งน้ำให้เป็นประจำแต่ช่วงสงกรานต์ทุกคนต่างมีธุระต้องไปต่างจังหวัดจึงไม่มีคนดูแลแก และช่วงหลังจากที่แกออกจากโรงพยาบาลก็มีอาการทรุดหนัก กินข้าวไม่ได้ และลุกเดินไม่ได้เหมือนแต่ก่อนจึงได้แต่นอนจนแผลกดทับ

ด้าน น.พ.วีระพล ธีระพันธุ์เจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า อาการแรกรับพบว่านางสัมพันธ์ มีชีพจรเต้นต่ำและความดันต่ำมากเพียง 60-40 เท่านั้น และร่างกายไม่ตอบสนอง คงมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่หลับและลืมตาได้ ทางแพทย์ได้นำเข้าห้องฉุกเฉินและรักษาตามกรรมวิธีของแพทย์จนทำให้ชีพจรเต้นดีขึ้น และความดันกลับมาที่ 120-80 ซึ่งได้มีการให้นำเกลือช่วย

ส่วนแผลกดทับตามร่างกายที่เกิดจากการกดทับเป็นเวลานานและไม่ได้รับการทำความสะอาด แพทย์ได้ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อตรงแผลกดทัดแล้ว

อย่างไรก็ตาม พบว่านางสัมพันธ์ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วโดยตามอาการของโรคมะเร็งระยะนี้จะทำให้เหนื่อยง่าย และร่างกายมักไม่ตอบสนองการรักษาพยาบาล อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะช่วยเหลือชีวิตได้ในขณะนี้ แต่โดยรวมถือว่ายังไม่พ้นขีดอันตราย และแพทย์ต้องดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดต่อไป





กำลังโหลดความคิดเห็น