ศูนย์ข่าวศรีราชา - แก๊งมารศาสนาออกอาละวาดหนัก อ้างชื่อวัด-สำนักสงฆ์ ที่กำลังประสบปัญหาจากความเดือดร้อน จนถูกเผยแผ่ข่าวออกทางสื่อ ออกเร่เรี่ยไรระดมทุนขอรับเงินบริจาค วอนญาติโยมหากพบเห็นให้แจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินการ หวั่นทำเสียชื่อเสียงจนศรัทธาเสื่อม
วันนี้ (23 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับร้องเรียนจาก น.ส.จุฑามาศ ทองอยู่ยง อายุ 30 ปี เจ้าของร้านค้าของชำ ใกล้กับจุดจอดรถโดยสารหินกอง พื้นที่ ม.8 ต.หินกอง อ.หนองแค จ.สระบุรี ว่า ได้มีรถเร่ออกตระเวนนำถังผ้าป่าสีเหลือง ออกมาเดินแจกจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าทั่วไปในเขตพื้นที่ จ.สระบุรี โดยมีกลุ่มชายวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี แต่งกายลักษณะห่มเหลือง คล้ายสามเณร ออกเดินเร่แจกจ่ายถังผ้าป่าดังกล่าว
โดยอ้างว่าเป็นการทำบุญ ช่วยเหลือทางด้านเงินทุน เพื่อนำไปขอซื้อที่ดินให้แก่ทางสำนักสงฆ์ “นาคีทองคำ” ตั้งอยู่เลขที่ 130 ม.2 ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน จากการถูกฟ้องร้องจากทางทายาทของเจ้าของที่ดินที่เคยยกที่มอบให้ จำนวน 6 ไร่ จากทั้งแปลง 300 ไร่ จนถูกศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ตัดสินให้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทางศาสนาออกไป จากที่ดินแปลงดังกล่าว ตามที่สื่อเคยนำเสนอข่าวผ่านไปแล้วนั้น
ซึ่งทางตนเองเป็นคนชอบติดตามข่าวสาร และมักจะทำการตรวจสอบก่อนที่จะร่วมทำบุญ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (โซเชียล เน็ตเวิร์ก) ถึงที่มาที่ไปทุกครั้ง หลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องพระปลอมออกมาอาละวาด หากินในผ้าเหลืองอยู่บ่อยครั้ง จึงได้ทำการตรวจสอบมายังทางสำนักสงฆ์แห่งนี้ ซึ่งปรากฏว่า ไม่ได้มีการส่งคนไปออกเร่เรี่ยไรแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ขณะที่ พระมหาภควัฒน์ วรวฑฒโน อายุ 51 ปี พรรษา 18 เจ้าสำนักสงฆ์นาคีทองคำ กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักสงฆ์ไม่ได้มีการส่งคนไปออกรถเร่ หรือเรี่ยไรแต่อย่างใดทั้งสิน โดยการทำบุญของทางสำนักสงฆ์นั้น จะมีการทำบุญในรูปแบบของกฐิน และผ้าป่า กันเพียงปีละ 2 ครั้ง คือ บุญกฐิน ในช่วงของหลังจากการออกพรรษาไปแล้ว และทำบุญผ้าป่าพร้อมกับพิธีไหว้ครูในช่วงประมาณปลายเดือน ก.พ.ของทุกปีเท่านั้น และผ่านทางเครือข่ายของลูกศิษย์ ลูกหา อย่างชัดเจน
การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแอบอ้างจากกลุ่มมิจฉาชีพ ที่นำเอาชื่อของทางสำนักสงฆ์ไปทำมาหากินเท่านั้น โดยขอฝากญาติโยม หากได้พบเห็บกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้แจ้งให้แก่ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองช่วยดำเนินการจัดการให้ด้วยเพราะเป็นการทำลายชื่อเสียงของทางสำนักสงฆ์ให้เป็นไปในทางที่เสื่อมเสียอีกทางหนึ่งด้วย