ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - งาน “ทอเส้นฝ้าย สานเส้นใย ใส่สีธรรมชาติ” จัด 25 มี.ค.-3 เม.ย.นี้ มีผู้ประกอบการเตรียมร่วมงานกว่า 400 คูหา พร้อมนิทรรศการผ้าโบราณหายาก ผอ.ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ชี้ เป็นช่องทางการตลาดที่ดี แถมผู้ประกอบการได้ข้อมูลทดลองตลาด-ความเห็นผู้บริโภคไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย
วันนี้ (17 มี.ค.) ที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดการแถลงข่าวการจัดงาน “ทอเส้นฝ้าย สานเส้นใย ใส่สีธรรมชาติ” ครั้งที่ 13 ขึ้น โดยมีนายสำราญ ห่านแก้ว ประธานสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย สาขาเชียงใหม่-ลำพูน และ นายประสงค์ นิลบรรจง ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ร่วมในการแถลงข่าว
การจัดงาน “ทอเส้นฝ้าย สานเส้นใย ใส่สีธรรมชาติ” ครั้งที่ 13 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 25 มี.ค.-3 เม.ย.2554 เวลา 10.00-21.00 น.ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ถ.ทุ่งโฮเต็ล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานการผลิตสิ่งทอ โดยเฉพาะผ้าฝ้ายและผ้าไหม รวมทั้งเป็นช่องทางสนับสนุนด้านการตลาดให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งการจัดงานทั้ง 12 ครั้งที่ผ่านมา ได้สร้างรายได้และสร้างช่องทางการตลาดใหม่ๆ ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการด้วยดีมาโดยตลอด
นายสำราญ ห่านแก้ว ประธานสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย สาขาเชียงใหม่-ลำพูน กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า การจัดงานในปีนี้จะประกอบไปด้วยการออกร้านของผู้ประกอบการกว่า 400 คูหา โดยจะมีการนำสินค้าประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์จากผ้า, เครื่องหนังทำมือ, ผ้าฝ้าย, ผ้าไหม, เครื่องประดับและอัญมณี, เครื่องจักสาน, ของตกแต่งและของที่ระลึก, เครื่องแกะสลักและผลิตภัณฑ์จากไม้, ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ, กระดาษสา และเครื่องปั้นดินเผามาจัดจำหน่าย นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรม การฝึกอบรมวิชาชีพ และนิทรรศการเกี่ยวกับผ้า ซึ่งจะมีการนำผ้าโบราณที่มีคุณค่าและเก่าแก่หายากจากกลุ่มผู้ประกอบการและนักสะสมมาจัดแสดงในงานด้วย
ด้าน นายประสงค์ นิลบรรจง ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กล่าวถึงการจัดงาน “ทอเส้นฝ้าย สานเส้นใย ใส่สีธรรมชาติ” ครั้งที่ 13 ว่า เป็นงานที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ได้ให้การสนับสนุนการจัดงานมาโดยตลอด เนื่องจากถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการจะได้ทำตลาดสินค้าของตน รวมทั้งเป็นโอกาสที่จะได้รับทราบความคิดเห็นและความต้องการจากผู้บริโภค ว่า มีความพึงพอใจ หรือสนใจต่อผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มผู้ประกอบการได้ออกแบบหรือนำมาจัดจำหน่ายมากน้อยเพียงใด ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป
