กาฬสินธุ์ - หนี้ท่วมหัวแรงงานไทยในลิเบีย เมืองน้ำดำ ย้ำรัฐ “มาร์ค” ต้องเร่งช่วยเหลือ อย่ามัวแต่ทำประชานิยมหาเสียงเลือกตั้ง ระบุเข็ดแล้วขายแรงงานต่างประเทศ ไม่คุ้มค่าเสี่ยง ย้ำ ขอทำมาทำกินพร้อมน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน และขอตายอยู่บ้านเกิดกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทองแดง ชราแสง อายุ 41 ปี นายสุริยงค์ พันธ์สีแก้ว อายุ 43 ปี ชาวบ้านยอดแกง ต.ยอดแกง อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ 2 แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในประเทศลิเบีย และเพิ่งกลับมาถึงบ้านเกิดใน จ.กาฬสินธุ์ ได้เข้ายื่นเรื่องขอกู้เงินเพิ่มจาก ธ.ก.ส.สาขา อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ เพื่อนำไปใช้หนี้เงินกู้นอกระบบที่ได้กู้เป็นค่าใช้จ่ายก่อนการเดินทาง และนำไปเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ และใช้จ่ายในครอบครัวช่วงว่างงาน
หลังจากอพยพกลับบ้านเกิดเหลือแต่ตัว ทั้งนี้ แรงงานทั้งสองคน ระบุว่า จะไม่เดินทางไปขายแรงงานในต่างประเทศอีกแล้ว โดยเฉพาะประเทศลิเบีย ซึ่งจะขอทำมาหากินและขอตายอยู่ที่บ้านเกิด พร้อมน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ในชีวิตประจำวัน
นายทองแดง ชราแสง อายุ 41 ปี แรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศลิเบีย กล่าวว่า หลังเดินทางถึงบ้านเกิดตัวเปล่าๆ มีเงินติดกระเป๋าไม่กี่ร้อยบาท ก็ได้เข้าไปยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือกับแรงงาน จ.กาฬสินธุ์ และจัดหางาน จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นจึงได้นำเอกสารหลักฐานต่างๆเข้ายื่นเรื่องขอกู้เงินเพิ่มเติมจาก ธ.ก.ส.สาขา อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ อีก 150,000 บาท จากเดิมเป็นหนี้อยู่ 150,000 บาท ซึ่งหากกู้ได้จะรวมเป็นหนี้ทั้งหมด 300,000 บาท
ทั้งนี้ เพื่อที่จะนำไปเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพและใช้จ่ายในครอบครัวช่วงที่ว่างงานและกำลังหางานทำ เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินเหลืออยู่แล้ว
นายทองแดง เล่าต่อว่า เบื้องต้นจะนำเงินที่ขอกู้เพิ่มครั้งนี้ไปเป็นทุนในการปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ ตามวิถีชีวิตพอเพียง เพื่อเลี้ยงครอบครัวไปก่อน เพราะตอนนี้ยังตั้งหลักไม่ได้ และต่อไปคาดว่าจะไม่เดินทางไปขายแรงงานในต่างประเทศอีก โดยเฉพาะประเทศลิเบีย เพราะเข็ดหลาบแล้ว ขอตายที่บ้านเกิดดีกว่า ไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย แถมยังเป็นหนี้สินท่วมตัวอีกด้วย ซึ่งต่อไปจะขอทำมาหากินอยู่กับครอบครัว โดยน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นหลักในการดำรงชีวิต
อย่างไรก็ตาม อยากฝากไปถึงแรงงานที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ว่า ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และมีเหตุการณ์วุ่นวายในหลายประเทศ ไม่ควรเสี่ยงที่เดินทางไปขายแรงงาน ทำมาหากินอยู่บ้านเกิดของตนเองจะดีที่สุด
ด้าน นายสุริยงค์ พันธ์สีแก้ว อายุ 43 ปี หนึ่งในแรงงานเคราะห์ร้าย กล่าวว่า ไปทำงานในประเทศลิเบีย ได้ 1 ปี 9 เดือน ยังใช้หนี้ไม่หมด ก็มาเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ก่อน ทำให้ต้องเดินทางกลับบ้านก่อนกำหนด มีเงินเหลือติดตัวมาเพียง 500 บาท และต้องเป็นหนี้ ธ.ก.ส.อยู่ 50,000 บาท และหนี้นอกระบบดอกเบี้ยร้อยละ 5 อีก 50,000 บาท จำเป็นต้องมาขอกู้เงินเพิ่มจาก ธ.ก.ส.อีก 50,000 บาท เพื่อนำไปใช้หนี้นอกระบบ
เนื่องจากดอกเบี้ยแพงสูงกว่าของ ธ.ก.ส.ทำให้ขณะนี้เป็นหนี้ ธ.ก.ส.ทั้งหมด 100,000 บาท ซึ่งต่อไปคงจะต้องอดทน ทำมาหากินใช้ชีวิตที่บ้านเกิดอย่างพอเพียง และคงต้องก้มหน้าก้มตาหาเงินใช้หนี้ต่อไป
ตนต้องการให้รัฐบาลชุดนี้เร่งเข้ามาช่วยเหลือแรงงานไทยในลิเบีย เพื่อป้องกันให้กับอีก 2 หมื่นครอบครัวที่ต้องหมดเนื้อหมดตัวจากปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะผมเชื่อว่า หากรัฐบาลจริงใจ หรือให้ความสนใจจะสามารถแก้ไขปัญหาแรงงานได้ เพราะนโยบายต่างๆ รัฐบาลมุ่งเน้นที่จะช่วยประชาชนอยู่แล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องหันมาสนใจก่อนที่จะไปสร้างนโยบายประชานิยมหาเสียงเลือกตั้ง” นายสุริยงค์ กล่าว
ขณะที่ นายประภาส เทศารินทร์ หัวหน้าหน่วย ธ.ก.ส.สาขา อ.นามน จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เบื้องต้น ธ.ก.ส.ได้รับเรื่องของ 2 แรงงานไทยไว้แล้ว พร้อมกับรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาถึงหลักเกณฑ์และเหตุผลที่ลูกค้าขอกู้เงิน
ทั้งนี้ วงเงินของลูกค้าทั้ง 2 คน ที่กู้ไปก่อนหน้านี้มีจำนวนไม่มากนัก และยังกู้ในวงเงินต่ำกว่าที่ ธ.ก.ส.ให้ไว้ ซึ่งหากพิจารณาแล้วก็สามารถอนุมัติให้ทั้ง 2 คน กู้เงินเพิ่มได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้า เพราะต้องการเงินไปเป็นทุนในการประกอบอาชีพ และใช้หนี้นอกระบบ ส่วนมาตรการช่วยเหลือต่อไปนั้น คงต้องรอจากผู้บริหารและสำนักงานใหญ่เสียก่อน