น่าน - เกษตรกรชาวบ้านแสนสุข เมืองน่าน พลิกไร่ข้าวโพด-กะหล่ำปลี ที่เคยทำทุนหาย-กำไรหด เพราะราคาไม่แน่นอน หันปลูกสตรอเบอร์รี แค่ 1 ไร่ทำเงินได้ถึง 2 แสนภายใน 6 เดือน พร้อมเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวอุทยานฯ ขุนสถานด้วย
นางณัฐนันท์ หล้ารัศมี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 32 ม.9 บ้านแสนสุข ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน เจ้าของสวนสตรอเบอร์รี แม่โจ้ 55 เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับลดพื้นที่ปลูกกะหล่ำปลีและข้าวโพด ให้กลายเป็นสวนสตรอเบอรี่ เพื่อเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ ต.สันทะ อ.นาน้อย ว่า ตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา ครอบครัวปลูกกะหล่ำปลีและข้าวโพดมาโดยตลอด ต้องใช้พื้นที่กว่า 16 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกกะหล่ำปี ประมาณ 5-6 ไร่ อีก 10 ไร่ปลูกข้าวโพด แต่ผลผลิตและกำไรก็ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับราคาขาย โดยกะหล่ำปลีจะขายได้เงินประมาณ 80,000 บาท และได้เงินจากข้าวโพดประมาณ 50,000 บาท ซึ่งยังต้องหักค่าใช้จ่ายเป็นปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และค่าแรงคนงานที่ต้องใช้จำนวนมาก
จนเมื่อปี 2551 ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานสวนสตรอเบอร์รีที่เชียงใหม่ ประกอบกับ ญาติมีความรู้เรื่องการปลูกสตรอเบอร์รี จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จึงได้ขอคำแนะนำ จนในปี 2552 ได้แบ่งพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ เพื่อทดลองปลูกสตรอเบอร์รี ใช้เงินลงทุนประมาณ 80,000 บาท ปรากฏว่า สามารถขายสตรอเบอร์รี ภายในระยะเวลา 6 เดือน ได้เงินประมาณ 2 แสนบาท เมื่อหักเงินลงทุนแล้วยังมีเงินเหลือกว่า 1 แสนบาท และการปลูกสตรอเบอร์รี ยังใช้สารเคมีน้อยกว่าการปลูกกะหล่ำปลี และข้าวโพด สามารถเก็บผลผลิตได้เองไม่ต้องจ้างแรงงาน ลดต้นทุนการผลิตไปในตัวด้วย
นางณัฐนันท์ยังเล่าอีกว่า ในปีแรกที่ตัดสินใจแบ่งพื้นที่ปลูกสตรอเบอร์รียังไม่มีความมั่นใจในเรื่องผลผลิตและตลาดรองรับ แต่เมื่อได้ทดลองปลูกแล้ว เห็นว่ารายได้ดี ใช้สารเคมีน้อย ไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปี 53 จึงได้ขยายพื้นที่การปลูกสตรอเบอร์รีอีก 1 ไร่ รวมเป็น 2 ไร่ ปลูกสตรอเบอร์รีพันธุ์ 80 และ 396 ใช้เวลาปลูก 3 เดือน คือช่วงสิงหาคม-ตุลาคม ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ไปจนถึงประมาณเดือนเมษายน พอหมดฤดูหนาวก็จะหยุดทำสวนสตรอเบอร์รีและจะปลูกใหม่อีกครั้งก่อนฤดูหนาวปีหน้า
เธอบอกว่า ในอนาคตจะขยายพื้นที่ปลูกสตรอเบอร์รีไปเรื่อยๆ ซึ่งหากมีผลผลิตมากพอ ก็จะนำไปแปรรูปเป็นสินค้าของฝาก จำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวได้ต่อไป
สำหรับสวนสตรอเบอร์รีแห่งนี้ยังเป็นจุดเสริมการท่องเที่ยวของอุทยานฯ ขุนสถาน อ.นาน้อย ได้เป็นอย่างดี เพราะนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมและเลือกเก็บผลสตรอเบอร์รีได้เอง โดยจะคิดในราคากิโลกรัมละ 200-300 บาท แล้วแต่พันธุ์ ซึ่งสร้างความสนุกสนานให้แก่กลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก