บุรีรัมย์ - ทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย นำคณะเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังชาวกัมพูชาที่เรือนจำ จ.บุรีรัมย์ และเรือนจำ อ.นางรอง ล่าสุดถูกคุมขังอยู่รวม 72 คน ส่วนมากเป็นคดียาเสพติด และทำร้ายร่างกาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-21 ปี พร้อมย้ำให้นักโทษปฏิบัติตามระเบียบ กม.ของเรือนจำ ชื่นชมราชทัณฑ์ไทยดูแลผู้ต้องขังเท่าเทียมกัน ขณะ ผบ.เรือนจำบุรีรัมย์ ยันดูแลผู้ต้องขังทุกชาติเท่าเทียมกันทุกด้าน
วันนี้ (24 ม.ค.) ที่เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ Mrs.YOU AY เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย พร้อมด้วย Mr.PENG Seyha เลขานุการเอกอัครราชทูต และกงสุล และ Mr.MAO Phearun เจ้าหน้าที่ และล่าม ได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังชาวกัมพูชา ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ โดยมี ดร.สุรสิทธิ์ จิตรชอบใจ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ให้การต้อนรับ
พร้อมรายงานเกี่ยวกับจำนวนผู้ต้องขังชาวกัมพูชา ที่ถูกคุมขังเป็นชาย จำนวน 45 คน อายุ 23-47 ปี ในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องขังที่ย้ายมาจาก จ.สระบุรี จำนวน 6 คน และมาจาก จ.สมุทรปราการ จำนวน 39 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังในความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ รองลงมาเป็นคดีความผิดประทุษร้ายต่อชีวิต โดยบางรายต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี จนถึง 21 ปี ซึ่งการเดินทางมาเยี่ยมของเอกอัครราชทูตกัมพูชา พร้อมคณะ ครั้งนี้ เบื้องต้นพอใจในการดูแลผู้ต้องขัง ทั้งด้านสุขภาพและสิทธิของผู้ต้องขัง ที่ได้รับการปฏิบัติดูแลที่เท่าเทียมกับผู้ต้องขังชาวไทย
Mrs.YOU AY เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กล่าวกับผู้ต้องขังชาวกัมพูชาที่ถูกคุมขังในเรือนจำบุรีรัมย์ ว่า ทางการกัมพูชามีความเป็นห่วงประชาชนชาวกัมพูชา ที่กระทำความผิดในประเทศไทย และถูกคุมขังอยู่ตามเรือนจำต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งวันนี้ทางสถานเอกอัครราชทูต กัมพูชาประจำประเทศไทย และคณะ ได้มาเยี่ยม เป็นขวัญกำลังใจ และสอบถามถึงชีวิตความอยู่ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร จึงขอให้ผู้ต้องขังได้ปฏิบัติตัวอยู่ในกฎระเบียบ ข้อบังครับ ของเรือนจำอย่างเคร่งครัด อย่าได้กระทำผิดซ้ำ เพื่อที่จะได้เป็นผู้ต้องขังชั้นดี ทั้งจะได้รับการลดโทษ และปล่อยตัวเร็วขึ้น
“หากผู้ต้องขังรายใดมีความประสงค์จะขอโอนย้ายคดีความผิดไปรับโทษที่ประเทศกัมพูชา ก็ขอให้แจ้งความจำนงผ่านมาทางสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย จะช่วยดำเนินการให้ และขอชื่นชมทางการไทยที่ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังชาวกัมพูชาเท่าเทียมกันเหมือนกับผู้ต้องขังชาวไทย ไม่มีการแยกสัญชาติ” เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย กล่าว
ทางด้าน ด้าน ดร.สุรสิทธิ์ จิตรชอบใจ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ทางเรือนจำบุรีรัมย์ รับโอนผู้ต้องขังชาวกัมพูชา จำนวน 45 คน มาจาก จ.สมุทรปราการ และ จ.สระบุรี เพื่อความสะดวกในการติดต่อขอเยี่ยมจากญาติผู้ต้องขัง เนื่องจาก จ.บุรีรัมย์ อยู่ติดชายแดนประเทศกัมพูชา ประกอบกับผู้ต้องขังส่วนใหญ่ติดโทษมาเหลือโทษจำคุกน้อย ที่เตรียมการปล่อยตัว
ในวันนี้ เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย และคณะ ได้เข้ามาเยี่ยมชาวกัมพูชา ว่า มีความเป็นอยู่อย่างไร พร้อมกำชับให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำในประเทศไทย และสอบถามเรื่องความทุกข์สุขของผู้ต้องขัง แต่ที่เรือนจำบุรีรัมย์เราปฏิบัติต่อผู้ขังชาวกัมพูชาเหมือนกับผู้ต้องขังชาวไทย โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกันหมด ซึ่งทางคณะทูต กัมพูชา ได้มาเห็นเรือนจำบุรีรัมย์ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังชาวกัมพูชาอย่างดีก็รู้สึกสบายใจ รวมทั้งหากมีการฝึกอาชีพให้ผู้ต้องขัง ก็ขอให้ได้นำเอาประสบการณ์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ที่ประเทศกัมพูชาหลังพ้นโทษต่อไป
ดร.สุรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในจำนวนผู้ต้องขังชาวกัมพูชา ที่ต้องโทษสูงสุดจำคุก 21 ปี เป็นคดียาเสพติด จาก จ.สมุทรปราการ 700 เม็ด และโทษต่ำสุดจำคุก 4 ปี 4 เดือน แต่ทุกคนที่ย้ายมาเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ กำหนดโทษการควบคุมไม่เกิน 15 ปี เมื่อศาลตัดสินแล้ว ถ้าเกิน 15 ปี ต้องส่งเรือนจำใหญ่ ส่วนสิทธิการถูกคุมขังในเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ทั้งชาวลาว กัมพูชา พม่า เราปฏิบัติเหมือนกันหมด ภายใต้กรอบกฎหมายของราชทัณฑ์ และกรอบกฎหมายรัฐบาลไทย
นอกจากนี้ ทางเอกอัครราชทูตกัมพูชา ยังได้ชี้แจงให้ผู้ต้องขังชาวกัมพูชา ทราบว่า เรามีการโอนตัวนักโทษระหว่างประเทศกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีการโอนไปแล้ว 1 คน ที่เรือนจำบางขวาง แต่ที่นี่ใครปรารถนาที่จะโอนตัวผู้ต้องขังระหว่างประเทศขอให้แจ้งความจำนงไปยังสถานทูตฯ โดยมีข้อมูลมาให้ผู้ต้องขังกรอก และส่วนใหญ่ผู้ต้องขังที่อยู่กับเราพูดภาษาไทยได้เกือบทั้งหมด เพราะมีการสอนภาษาไทยด้วย
“ผู้ต้องขังชาวกัมพูชามีจำนวนน้อยที่อยากขอโอน แต่ส่วนใหญ่อยากถูกคุมขังในประเทศไทย และไม่มั่นใจว่าเมื่อพ้นโทษไปแล้ว เมื่อ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง มารับตัวไป บางคนมีคดีอาญัติ ที่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอีก เพราะว่ามีคดีซ้ำซ้อนอยู่ บางคนที่ไม่มีคดี เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ส่งตัวกลับออกนอกประเทศทันที” ดร.สุรสิทธิ์ กล่าว
ดร.สุรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในกฎเกณฑ์การรับโอนที่ทางเอกอัครราชทูตกัมพูชา กำหนด คือ เป็นผู้ต้องขังที่ต้องโทษมาแล้วเหลือโทษจำคุก ประมาณ 8 ปี จึงจะรับโอนไป หากเหลือโทษจำน้อยก็จะไม่รับโอน ส่วนสิทธิ์การลดโทษและอภัยโทษนั้น ผู้ต้องขังทุกคนได้รับสิทธิ์เหมือนกันหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากนั้น Mrs.YOU AY เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย และคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังชาวกัมพูชา ที่เรือนจำอำเภอนางรอง จ.บุรีรัมย์ โดยมีต้องขังชาวกัมพูชา ที่ถูกคุมขังเป็นชาย จำนวน 27 คน แยกเป็นชาย 24 หญิง 3 คน ซึ่งทั้งหมดย้ายโอนมาจาก จ.สระแก้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังในความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ เช่นกัน