ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยาประชุมร่วมตัวแทนผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีใหม่สำหรับผู้ประกอบการในพื้นที่โซนนิ่งสถานบริการ หลังมีนโยบายจัดทำแผน“พัทยาโมเดล” หวังนำร่องพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการเปิดให้บริการสถานบริการในพื้นที่เมืองท่องเที่ยว
วันนี้ (18 ม.ค.54) ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา นายวัฒนา จันทนวรานนท์ รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการประกอบกิจการสถานบริการ หรือ “พัทยาโมเดล” ด้านมาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และการจ้างแรงงาน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย เมืองพัทยา กรมสรรพากร สรรพสามิต ตัวแทนผู้ประกอบการบาร์เบียร์ สมาคมธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและสื่อมวลชนเข้าร่วม
ตามที่เมืองพัทยาได้ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตัวแทนสถานประกอบการในเขตเมืองพัทยา ร่วมกันกำหนดแผนการจัดทำแนวทางการประกอบกิจการสถานบริการ หรือพัทยาโมเดลขึ้น เพื่อเป็นกำหนดกรอบในการปฏิบัติของผู้ประกอบการสถานบริการในพื้นที่โซนนิ่ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการประกอบการกิจการและเรื่องของระยะเวลาเปิดปิด หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากมาตร การเข้มงวดของภาครัฐ
ทั้งนี้ เนื่องจากเมืองพัทยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและสร้างรายได้เข้าสู่ประ เทศจากการท่องเที่ยวปีละหลายหมื่นล้านบาท จึงเห็นควรให้มีการยกเว้นในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อเป็นการส่ง เสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ สำหรับคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการประกอบกิจการสถานบริการหรือพัทยาโมเดลนั้น มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 ชุด เพื่อแยกการพิจารณาให้เกิดความชัดเจน ได้แก่ ชุดการพิจา รณาพื้นที่โซนนิ่งใหม่ การพิจารณาเรื่องของ พ.ร.บ.สาธารณสุข และเรื่องของมาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และการจ้างแรงงาน โดยในส่วนของคณะอนุกรรมการเรื่องมาตรภาษีนั้นจากการประชุมดังกล่าวได้มีการยกหัวข้อของการปรับเปลี่ยนอัตราค่าธรรมเนียม ภาษี และการจ้างแรงงานขึ้นใหม่
โดยเสนอให้มีการปรับเพิ่มเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวในทุกกรณี ทั้งนี้จะแยกออกเป็นมาตรการการจัดเก็บค่าธรรมเนียม และภาษีที่ต่างกันตามระยะเวลาเปิดและปิด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ 1.ปิดในเวลา 07.00 น. 2.ปิดในเวลา 12.00 น. และ 3.เปิดตลอด 24 ชม.โดยจะใช้ฐานของการประเมินภาษีเดิมเป็นหลักเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราค่าจัดเก็บนั้นยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเนื่องจากมีข้อเกี่ยวพันกับกฎหมายและหลายหน่วยงานซึ่งจะได้มีการเรียกประชุมอีกครั้ง ก่อนนำผลสรุปเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาและส่งต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
วันนี้ (18 ม.ค.54) ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา นายวัฒนา จันทนวรานนท์ รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการประกอบกิจการสถานบริการ หรือ “พัทยาโมเดล” ด้านมาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และการจ้างแรงงาน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย เมืองพัทยา กรมสรรพากร สรรพสามิต ตัวแทนผู้ประกอบการบาร์เบียร์ สมาคมธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและสื่อมวลชนเข้าร่วม
ตามที่เมืองพัทยาได้ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตัวแทนสถานประกอบการในเขตเมืองพัทยา ร่วมกันกำหนดแผนการจัดทำแนวทางการประกอบกิจการสถานบริการ หรือพัทยาโมเดลขึ้น เพื่อเป็นกำหนดกรอบในการปฏิบัติของผู้ประกอบการสถานบริการในพื้นที่โซนนิ่ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการประกอบการกิจการและเรื่องของระยะเวลาเปิดปิด หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากมาตร การเข้มงวดของภาครัฐ
ทั้งนี้ เนื่องจากเมืองพัทยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและสร้างรายได้เข้าสู่ประ เทศจากการท่องเที่ยวปีละหลายหมื่นล้านบาท จึงเห็นควรให้มีการยกเว้นในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อเป็นการส่ง เสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ สำหรับคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการประกอบกิจการสถานบริการหรือพัทยาโมเดลนั้น มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 ชุด เพื่อแยกการพิจารณาให้เกิดความชัดเจน ได้แก่ ชุดการพิจา รณาพื้นที่โซนนิ่งใหม่ การพิจารณาเรื่องของ พ.ร.บ.สาธารณสุข และเรื่องของมาตรการภาษี ค่าธรรมเนียม และการจ้างแรงงาน โดยในส่วนของคณะอนุกรรมการเรื่องมาตรภาษีนั้นจากการประชุมดังกล่าวได้มีการยกหัวข้อของการปรับเปลี่ยนอัตราค่าธรรมเนียม ภาษี และการจ้างแรงงานขึ้นใหม่
โดยเสนอให้มีการปรับเพิ่มเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวในทุกกรณี ทั้งนี้จะแยกออกเป็นมาตรการการจัดเก็บค่าธรรมเนียม และภาษีที่ต่างกันตามระยะเวลาเปิดและปิด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ 1.ปิดในเวลา 07.00 น. 2.ปิดในเวลา 12.00 น. และ 3.เปิดตลอด 24 ชม.โดยจะใช้ฐานของการประเมินภาษีเดิมเป็นหลักเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม สำหรับอัตราค่าจัดเก็บนั้นยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเนื่องจากมีข้อเกี่ยวพันกับกฎหมายและหลายหน่วยงานซึ่งจะได้มีการเรียกประชุมอีกครั้ง ก่อนนำผลสรุปเสนอต่อที่ประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาและส่งต่อไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
