ศูนย์ข่าวศรีราชา - ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในเขตภาคอีสานช่วงปลายปี 53 ที่ผ่านมา อาจทำให้ผลผลิตหัวมันฯสดทั่วประเทศในปี 54 ลดลง 30% จากที่เคยผลิตได้ในปีก่อนประมาณ 26 ล้านตัน และยังจะทำให้มูลค่าการส่งออกลดเหลือเพียง 6 หมื่นกว่าล้านบาท จากที่เคยทำได้ถึง 9 หมื่นล้านบาท
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย เผยถึงแนวโน้มการส่งออกหัวมันสำปะหลังสดและผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังจากไทยไปยังตลาดโลกโดยเฉพาะในประเทศจีนและกลุ่มประเทศแถบยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดสำคัญของไทยในปี 2554 ว่า แม้ปัจจุบันราคารับซื้อหัวมันสำปะหลังสดและผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังจากไทยจะขยับราคาสูงขึ้นมากตามความต้องการใช้หัวมันสดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอธานอลสำหรับผลิตพลังงานในช่วงฤดูหนาวของประเทศเมืองหนาว
แต่ผลผลิตจากไทยในปีนี้กลับมีแนวโน้มว่าจะไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เพราะการเกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งถือเป็นแหล่งปลูกมันฯ ที่สำคัญของไทยในช่วงปลายปี 2553 ทำให้คาดได้ว่าในปี 2554 ผลผลิตหัวมันสดที่จะออกสู่ตลาดน่าจะเหลือเพียง 18-19 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีประมาณ 25-26 ล้านตันประมาณ 30 % และอาจทำให้มูลค่าการส่งออกที่เคยได้ถึง 9 หมื่นล้านบาท ลดเหลือเพียง 6 หมื่นล้านบาท
“สิ่งที่น่าเสียได้สำหรับตลาดส่งออกหัวมันฯสดและผลิต ภัณฑ์แป้งมันของไทยในปี 2554 ก็คือความไม่สามารถผลิตวัตถุดิบได้เพียงพอกับความต้องการของตลาด ทั้งที่ขณะนี้ราคารับซื้อแป้งมันสำปะหลังในตลาดโลกพุ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 18 บาท ขณะที่หัวมันฯสดรับซื้อกันที่กิโลกรัมละ 3.50 - 4 บาท”
นายนิยม ยังเผยอีกว่านอกจากในปี 2554 เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังจะต้องได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมแหล่งเพาะปลูกแล้ว ปัญหาการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้งก็ยังไม่ลดน้อยลง ทำให้สมาคมฯที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกับกระทรวงเกษตร เร่งเพาะพันธ์แตนเบียนและแมลงช้างปีกใสเพื่อช่วยกำจัด ขณะเดียวกันก็จัดอบรมเกษตรกรเกี่ยวกับการบำรุงดิน และการปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่เพื่อให้ช่วยอุ้มน้ำในช่วงที่มีฝนตก และทำให้ดินชุ่มน้ำซึ่งจะทำให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตที่ดีขึ้น
“ปัญหาผลผลิตหัวมันฯสด ที่จะลดน้อยลงในปีนี้อาจทำให้การบริโภคภายในประเทศไม่เพียงพอ แต่ในส่วนของตลาดโลกช่วง 1-3 เดือนแรกอาจยังไม่เกิดความตึงเครียดเพราะผลผลิตจากเวียดนามจะออกสู่ตลาด หลังจากนั้นก็จะเป็นผลผลิตของอินโดนีเซีย แต่หลังจากผลผลิตของทั้ง 2 ประเทศออกสู่ตลาดหมดแล้ว ก็จะวนกลับมาที่ประเทศไทย ซึ่งเมื่อถึงช่วงนั้นหากเกษตรกรยังไม่สามารถเร่งผลผลิตออกสู่ตลาดได้ ก็จะทำให้เกิดความตึงเครียดและการขาดแคลนวัตถุดิบได้ ถึงตอนนั้นอาจทำให้ราคาผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังในประเทศขยับตัวตาม” นายนิยม กล่าว