กาญจนบุรี - พบแท่งหินโบราณกลางลำห้วยซองกาเลีย หมู่ 8 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ชาวบ้านเชื่อเป็นฝีมือมนุษย์ในสมัยเมืองลับแล สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บตามความเชื่อของคนโบราณ เตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมพิสูจน์
เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (7 ม.ค.54) นายจำรัส กังน้อย นายอำเภอสังขละบุรี ได้รับแจ้งจากนาย ปรีชา ชูชื่น นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ อ.สังขละบุรีว่า ที่บริเวณกลางลำห้วยซองกาเลีย หมู่ 8 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มีแท่งหินโบราณขนาดใหญ่วางขวางอยู่กลางลำห้วย ใต้พื้นน้ำลงไปมีบ่อน้ำลักษณะเป็นวงรี ชาวบ้านเชื่อเป็นฝีมือของมนุษย์ทำขึ้นมานานกว่า 2,000 ปี และอาจเป็นเมืองลับแลเก่า สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ หลังได้รับแจ้ง นายจำรัส กังน้อย พร้อมด้วยนายปรีชา ชูชื่น และคณะ จึงได้เดินทางไปพิสูจน์แท่งหินดังกล่าวเพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอสังขละบุรี โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญ หรือนักโบราณคดีร่วมพิสูจน์ในภายหลัง
นายปรีชา ชูชื่น นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการอำเภอสังขละบุรี เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมาได้มีชาวบ้านเดินทางเข้าไปหาของป่า และสังเกตเห็นแท่งหินขนาดใหญ่วางขวางลำห้วยซองกาเลียอยู่ จึงได้มาเล่าให้ตนฟัง จึงเกิดความสงสัยตนจึงเดินทางไปตรวจสอบว่ามีแท่งหินดังกล่าวจริงหรือไม่
เมื่อไปถึงก็พบว่ามีแท่งหินดังกล่าวอยู่จริง และจากการสืบค้นจากชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นตำนานเล่าขานสืบทอดกันมา โดยชาวบ้านเชื่อกันว่า แท่งหินที่ตั้งอยู่กลางลำห้วยซองกาเลียที่พบเห็น เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ หรือเมืองลับแล และเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่จะมีศาสนาพุทธ เป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ ๓,๐๐๐คน บริเวณใต้พื้นน้ำซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของแท่งหินจะมีลักษณะเป็นบ่อน้ำคล้ายวงรี
โดยชาวบ้านเชื่อว่าสมัยนั้นมีฤาษีแปดตน มานั่งบริกรรมบรรจุพลังทางธรรมลงไปในแท่งหิน แล้วลงไปยังน้ำในบ่อที่แท่งหินวางอยู่ ผู้คนสมัยนั้นได้มาตักน้ำในบ่อไปดื่มกินเพราะเชื่อกันว่าน้ำที่อยู่ในแท่งหินสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ซึ่งอยู่ในยุคฤาษีและยุคบูชาไฟ เชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นการเล่าขานปากต่อปากเป็นการคาดเดาวิจารณ์ต่อๆกันมา
นายปรีชา ชูชื่น เปิดเผยต่อว่า ตนรู้จักบุคคลที่สามารถมีสมาธิจิตติดต่อสื่อสารกับมิติที่มองไม่เห็น จึงได้เชิญบุคคลนั้นมานั่งสมาธิ ซึ่งหลังจากนั่งสมาธิบุคคลนั้นก็ได้บอกเล่าให้ฟังว่า แท่งหินดังกล่าวในอดีต เป็นที่นั่งเพ่งพลังจิตของฤาษีแปดตน
ส่วนบริเวณรอบแท่งหินเป็นบ่อ โดยธรรมชาติไม่น่าจะเกิดขึ้นเองได้แต่น่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ไม่ใช่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ผู้ที่นั่งทางในบอกว่าถ้าอยากพิสูจน์ให้ค้นหาถ้ำซึ่งอยู่ในรัศมี 100 เมตร จากแท่งหินซึ่งเป็นที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ของคนโบราณจะพบเครื่องสำริดอยู่ภายในถ้ำ แต่จากนั้นตนก็ไม่ได้เดินหาถ้ำแต่ที่บุคคลดังกล่าวบอกแต่อย่างใด เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นป่าที่รกทึบมาก
แต่จากการสอบถามชาวบ้านที่เคยเดินป่าบริเวณนั้น ทุกคนยืนยันกับตนว่ามีถ้ำอยู่บริเวณนั้นจริง ชาวบ้านบางรายบอกว่า เมื่อประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมาเคยไปหาของป่าในช่วงฝน ยังเคยเข้าไปหลบฝนในถ้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆกับแท่งหินอยู่เลย แต่ระยะเวลาผ่านมายี่สิบปีแล้ว อาจจะมีดินถล่มลงมาปิดปากถ้ำเอาไว้ก็ได้ ประกอบกับบริเวณนั้นเป็นป่ารกทึบและเวลาผ่านมาหลายปี จึงจำไม่ได้ว่าถ้ำดังกล่าวนั้นอยู่ตรงไหน
ความแปลกหรือสิ่งที่จะสนับสนุนคือที่ตั้งของแท่งหินเป็นลักษณะบ่อที่ขุดขึ้น ส่วนตัวแท่งหินก็น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์ ชาวบ้านยังเล่าอีกว่าในคืนวันพระขึ้นสิบห้าค่ำ ชาวบ้านที่เดินผ่านจะเห็นว่ามีชาวลับแลมาตักน้ำบริเวณแท่งหินไปใช้ พอหันไปเพ่งมองจริงๆก็จะไม่เห็นอะไร
บางคนก็เล่าเสริมอีกว่าได้ยินเสียงพูดคุยของคนจำนวนมากแต่พอตั้งใจฟังก็จะไม่ได้ยินอะไรซึ่งบางคนก็เห็นภาพบางคนก็ได้ยินแต่เสียง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากบริเวณรอบแท่งหินแห่งนี้แต่ชาวบ้านเรียกแท่งหินนี้ว่าวังหีบ เพราะแท่งหินนี้มีลักษณะเหมือนหีบเก่าโบราณ
สำหรับแท่งหินดังกล่าวมีความกว้างประมาณ 170 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8เมตร หนาประมาณ 1.20 เมตร ส่วนบ่อน้ำรอบแท่งหินมีลักษณะคล้ายวงรีลึกประมาณ 2-3 เมตร และน้ำโดยรอบมีสีเขียวมรกต และเย็นมาก นายปรีชาเผย
ด้านนายจำรัส กังน้อย นายอำเภอสังขละบุรี กล่าวภายหลังว่า หลังจากได้เดินทางไปพิสูจน์แท่งหินดังกล่าวส่วนตัวก็เกิดความแปลกใจเช่นกัน ว่าแท่งหินขนาดใหญ่นี้มาวางขวางอยู่กลางลำห้วยซองกาเลียนี้ได้อย่างไร และจากการลงไปสัมผัสแท่งหินด้วยตนเอง มีความรู้สึกว่าแท่งหินดังกล่าวเป็นฝีมือของมนุษย์สร้างขึ้นมาอย่างแน่นอน ไม่น่าจะเกิดเองตามธรรมชาติ
แต่อย่างไรก็ตามสถานที่พบแท่งหินดังกล่าวบริเวณโดยรอบมีสภาพที่สวยงามมาก เชื่อว่าน่าจะสามารถผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอำเภอสังขละบุรี และจังหวัดกาญจนบุรีเป็นอย่างมาก
ส่วนแท่งหินที่พบจะถูกสร้างขึ้นมาในสมัยใดนั้นตนไม่สามารถตอบได้ จึงอยากจะเชิญผู้ที่เชี่ยวชาญ หรือนักโบราณคดีที่มีความรู้มาร่วมพิสูจน์แท่งหินดังกล่าวว่าถูกสร้างขึ้นมาในสมัยใดกันแน่