สุรินทร์ – กลุ่ม “เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่” กว่า 300 คน เข้าปักหลักสร้างกระท่อมตั้งหมู่บ้าน “ 1 ต่อ 200,000” บริเวณป่าชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เรียกร้องรัฐจัดสรรที่ดินชายแดนแก่ชาวบ้านไร้ที่ดินทำกินเป็นกันชนปกป้องแผ่นดินไทย พร้อมให้ตรวจสอบหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว จี้รัฐบาลยกเลิก “MOU” กับเขมรที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน
วันนี้ (19 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ได้มีกลุ่มชาวบ้านสมาชิกเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ จำนวน 326 คน นำโดย นายสิงห์สุวรรณพร สาครไพศล เดินทางเข้าไปปักหลักสร้างกระท่อมที่พัก ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ทุ่งมน-บักได –ตาเบา-แปลงที่ 3 บริเวณบ้านคลองน้ำซับ หมู่ที่ 5 ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา ประมาณ 10 กิโลเมตร (กม.)
ต่อมานายดุษฎี ดวงใจ ปลัดอาวุโสอำเภอกาบเชิง พ.ต.ท.วรยุทธ พงษ์ตัน สารวัตร สภ.แนง มุด อ.กาบเชิง พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกาบเชิง สร.1 อ.ปราสาท , สร.6 แนงมุด , เจ้าหน้าที่กรมทหารพรานที่ 26 กองทัพภาคที่ 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าไปเจรจา กับแกนนำผู้ชุมนุม ให้ย้ายออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทุ่งมน-บักได-ตาเบา แปลงที่ 3 โดยให้ไปชุมนุม และสร้างที่พัก อยู่ในบริเวณที่ดินของนิคมสร้างตนเองปราสาท แทน
จากนั้นทางกลุ่มเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ ทั้งหมดได้ยุติสร้างกระท่อมที่พักในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวและยินยอมย้ายการชุมนุม ไปปักหลักชุมนุมพร้อมสร้างกระท่อมที่พักประมาณ 40 หลัง อยู่ที่บริเวณที่ดินของนิคมสร้างตนเองปราสาท และ ทำการตั้งชื่อว่า “หมู่บ้าน 1 ต่อ 200,000 ”
นายสิงห์สุวรรณ สาครไพศล แกนนำเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การที่สมาชิกกลุ่มเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ มาชุมนุมสร้างกระท่อมที่พัก ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ หรือป่าจบก บ้านคลองน้ำซับ ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลได้สนใจที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา อย่างจริงจัง
ทั้งนี้เนื่องจากพวกเราเห็นว่า ขณะนี้ประเทศไทยเราได้สูญเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชาไปมากแล้ว เพราะเชื่อเราว่ามีการย้ายหลักเขตแดนเข้ามาในเขตประเทศไทย จึงต้องการให้ดำเนินการสำรวจหลักเขตแดนทุกหลักเขต เพราะตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ไปจนถึง ชายแดนไทยด้าน จ.ตราด นั้น มีการย้ายหลักเขตแดนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะขอเรียกร้องให้ฝ่ายทหารเข้ามาดูแลปัญหานี้อย่างจริงจัง และเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทำการยกเลิกข้อตกลง MOU (บันทึกความเข้าใจ) ที่รัฐบาลไทยได้ทำไว้กับรัฐบาลกัมพูชา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 ในเรื่องความร่วมมือในการร่วมกันตั้งคณะกรรมสำรวจเขตแดนพื้นดินร่วมกัน และ ยกเลิกกรอบการเจรจา JBC เมื่อวัน 25 ตุลาคม 2551 เพราะเป็นสาเหตุของการเสียดินแดนไทยในขณะนี้
“นอกจากนั้นรัฐบาลและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ประชาชนที่ยังไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะที่ดินว่างเปล่า ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งประชาชนที่ทำกินในพื้นที่ชายแดนจะเป็นแนวกันชน หรือเป็นรั้วเขตแดนป้องกันการ รุกล้ำเข้ายึดครองแผ่นดินไทยจากต่างชาติได้เป็นอย่างดี” นายสิงห์สวรรณ กล่าว
