ศูนย์ข่าวนครราชสีมา – ประธานสภาอุตฯท่องเที่ยวไทย ชี้เหตุระเบิดแบงก์กรุงเทพยังไม่กระทบการท่องเที่ยวไทยในภาพรวม เหตุต้องการทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลเท่านั้น เผยสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยดีขึ้นประเดิมเดือนแรกปีเสือนักท่องเที่ยวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เกือบ 25% ระบุแดงถ่อยม็อบใหญ่ 14 มี.ค.ไม่กระทบหากชุมนุมสงบอยู่ในกรอบ กม.แต่หากรุนแรงซ้ำรอยเมษาฯเลือด 52 ถือเป็นอุบัติภัยครั้งใหญ่ของการท่องเที่ยวไทยแน่และยากต่อการฟื้นฟู วอนทุกฝ่ายเห็นแก่ประเทศหันหน้าสามัคคีสร้างขีดความสามารถแข่งขันกับต่างชาติ
วันนี้ (2 มี.ค.) นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์บ้านเมืองหลังคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 4.6 หมื่นล้านบาทว่า ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เคารพคำตัดสินของศาล แม้จะมีเหตุการณ์ปาระเบิดธนาคารกรุงเทพ หลายจุดก็ตามถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ถึงขั้นเสียเลือดเนื้อ และคิดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภาพรวม และเชื่อว่าสถานการณ์เหล่านี้คงคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น
“เหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ผมมองว่า เป็นการก่อกวนที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นการก่อกวนรัฐบาลมากกว่าที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบต่อภาพพจน์ ภาพลักษณ์ของไทยในสายตานักลงทุน นักท่องเที่ยวบ้าง ซึ่งการเกิดเหตุความไม่สงบในแหล่งชุมนุมของนักท่องเที่ยวโดยตรงครั้งนี้ ต้องการทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถดูแลความปลอดภัยของชีวิตทรัพย์สินได้ ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ หากกลุ่มคนเหล่านี้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ กิจกรรมเหล่านี้น่าจะยุติลงไปโดยรวดเร็ว” นายกงกฤช กล่าว
สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยขณะนี้ดีขึ้นมากนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2552 เป็นต้นมา และอัตราการเพิ่มของนักท่องเที่ยวล่าสุดเดือนม.ค. 2553 สูงขึ้นเกือบ 25% นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ คาดว่าตลอดครึ่งปีแรกของปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในอัตราตัวเลข 2 หลัก ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่กลับมาสู่สภาวะปกติของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศและเชื่อว่าแนวโน้มความขัดแย้งทางการเมืองจะเริ่มคลี่คลายและดีขึ้นตามลำดับ
นายกงกฤช กล่าวว่า ในส่วนการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดงวันที่ 14 มี.ค นี้นั้น ในเรื่องนี้ความจริงแล้วเราได้ยินเหตุการณ์การชุมนุมมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ. ส่วนตัวยังเชื่อว่าพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ยังมีความเข้าใจในเหตุและผลของทุกเรื่องเป็นอย่างดี จากการทำโพลสำรวจของสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็พบว่า ประชาชนคนไทยเกินกว่ากึ่งหนึ่งเข้าใจในเหตุผลของคำตัดสินของศาล เชื่อว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องเคารพและมีความเข้าใจ
เรื่องของการชุมนุมนั้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเราไม่เป็นห่วง หากเป็นการชุมนุมโดยสงบภายใต้กรอบของกฎหมายไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงใดๆ และที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในหลายครั้งที่มีการชุมนุมเป็นการชุมนุมโดยสงบ แม้จะเป็นการชุมนุมที่ก้าวเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า หล่อแหลมอย่างเช่น ทำเนียบรัฐบาล ก็เห็นได้ว่าเป็นการชุมนุมที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง ฉะนั้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเราคาดหวังว่า แม้มีการชุมนุม หากเป็นการชุมนุมเพื่อการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ความสงบ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เดินหน้าต่อไปได้
“หากการชุมนุมมีความรุนแรงเกิดขึ้น เหมือนเช่นเมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา คงจะเป็นอุบัติภัยที่ยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอีกครั้งหนึ่งและครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่เราต้องใช้เวลาฟื้นตัวยาวนานกว่าเดิมและฟื้นตัวได้ยาก เพราะความไม่เชื่อมั่นจากต่างประเทศ” นายกงกฤช กล่าว
นายกงกฤช กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เท่าที่ตรวจสอบดูในข่าวต่างประเทศยังมีการแสดงภาพการจลาจลเดือนเมษายนอยู่ในช่วงที่มีการประกาศคำตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ แสดงให้เห็นว่าบางครั้งสื่อมวลชนเอง โดยเฉพาะสื่อมวลชนในต่างประเทศก็สร้างความสับสนให้กับบริษัทนำเที่ยว นักท่องเที่ยวในต่างประเทศ ด้วย เรื่องนี้ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งประชาสัมพันธ์ออกไปโดยด่วน เพราะอย่างเช่น CNN ยังนำภาพในช่วงของเหตุการณ์จลาจลในเดือนเมษายนมาใช้ประกอบคำตัดสินคดียึดทรัพย์ เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมาด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวในหลายประเทศสับสนว่ามันเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีกหรือ ซึ่งเราได้เร่งประชาสัมพันธ์ไปว่า ไม่ได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ
“ดังนั้น หากการชุมนุมในเดือน มี.ค.นี้ ยังเกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น คงกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่คาดหวังเพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในขณะนี้ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยฟื้นตัวกลับคืนมาแล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศในทุกประเทศ” นายกงกฤช กล่าว
นายกงกฤช กล่าวต่อว่า อยากฝากถึงทุกฝ่ายว่าในภาวะเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันกันสูงในขณะนี้ ประกอบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่พ้นขีดอันตราย ประเทศไทยยังคงต้องแสวงหาความร่วมมือของคนในชาติ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะนี้เราสูญเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศไปแล้ว เราไม่มีเวลาเหลือเพียงพอที่จะมานั่งทะเลาะกันในเรื่องที่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศชาติอีกต่อไป จึงอยากขอร้องว่าให้ทุกคนกลับมาคำนึงถึงเรื่องใดที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติจะดีกว่าและควรร่วมมือกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
“สถานการณ์ชุมนุมในวันที่ 14 มีนาคม ที่จะถึงนี้ ส่วนตัวยังเชื่อว่าไม่น่ามีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น เพราะยังเห็นว่าสถาบันหลักๆ ของประเทศยังคงดำรงอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่ถูกต้อง จึงคิดว่าหากทุกคน ประชาชาชนส่วนใหญ่เคารพกติกาและสถาบันหลักที่สำคัญของชาติยังเคารพกติกา คาดว่าสถานการณ์ในเดือนมีนาคมนี้จะผ่านพ้นไปได้” นายกงกฤช กล่าว