ศูนย์ข่าวศรีราชา – อดีตอาสามูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก บุกเข้าร้องสื่อ เพื่อให้เร่งติดตาม กรณีพระดังเมืองศรีราชา ทำทารุณและอนาจารเด็กเกือบ 20 คน ทั้ง ๆ ที่ร้องเรียนและแจ้งความดำเนินคดีแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า
นายบุญเลิศ วัชระพิทักษ์กุล อดีตอาสามูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน กรณีมีพระชื่อดังในเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ก่อเหตุทำร้ายร่างกายสามเณรและอนาจารสามเณร มาเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้าร้องเรียนต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้ว ประกอบด้วย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนา ,แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า และล่าสุดได้เข้าแจ้ความดำเนินคดีกับพระรูปดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงหวั่นว่าเรื่อดังกล่าวจะเงียบหาย จึงได้ออกมาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีนี้
ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน แต่ไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลเท่าที่ชัดเจน จึงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาเริ่มมีข้อมูลหลักฐานต่างๆ จากปากคำเด็กที่ถูกกระทำ ,ร่อยรอยของบาดแผลที่ถูกกระทำ จึงมีการนำเรื่องนี้มาเปิดเผยและดำเนินการกับพระรูปดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องเงียบและก็ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
นายบุญเลิศ กล่าวต่อไปว่า มารดาของสามเณรที่ถูกกระทำอนาจาร ก็ได้เข้าแจ้งความต่อสารวัตรเวรสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีราชา เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นกัน ล่าสุดได้ติดต่อถามถามไปยังสารวัตรเจ้าของคดี ทราบว่า พระรูปดังกล่าว ได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว และได้ประกันตัวออกไป ส่วนเรื่องคดีความนั้นกำลังส่งเรื่องทั้งหมดไป กทม. ซึ่งในเรื่องนี้ตนเองไม่เข้าใจว่า ทั้งๆ ที่คดีความเกิดขึ้นที่ อ. ศรีราชา แต่ ทำไมต้องส่งเรื่องไปยัง กทม.ด้วย
ที่ผ่านมามีเด็กนักเรียน ได้หนีออกจากโรงเรียนดังกล่าวและได้ขอความช่วยเหลือ จากมูลนิธิ และมีเจ้าหน้าที่พิทักษ์เด็กเข้าไปช่วยเหลือ และนำเด็กไปพักฟื้นที่บ้านเด็กภูมิเวช กว่า 10 ราย และก็ขอให้มูลนิธิช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในโรงเรียนด้วย เพราะ ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่ยังเรียนอยู่ในสถานที่ดังกล่าว
นายบุญเลิศ กล่าวต่อไปว่า มีครูผู้สอนที่โรงเรียนดังกล่าว เห็นพฤติกรรมของพระรูปนี้ และไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมและสภาพที่เป็นอยู่ไม่ได้ จึงได้ยื่นหนังสือลาออก จำนวน 4 คน แต่ทางวัดไม่ให้ลาออก หรือ หากจะลาออกจริง จะต้องเซ็นหนังสือยินยอมว่าจะไม่ไปร้องเรียนหรือไปแจ้งดำเนินคดีใดๆ กับทางวัด หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยครูทั้ง 4 คน ยอมปฏิบัติตาม และได้ออกจากโรงเรียนดังกล่าวแล้วในขณะนี้
สำหรับโรงเรียนแห่งนี้ เปิดการเรียนการสอนมานานแล้วประมาณ 8 ปี โดยรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งสิ้นประมาณ 70 คน ซึ่งส่วนใหญ่เด็กนักเรียนที่มาเรียน มาจากต่างจังหวัดทั้งสิ้น เนื่องจากเด็กจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย โดยจะกินนอนอยู่ที่โรงเรียนดังกล่าว
ที่ผ่านมาพระรูปดังกล่าว ได้มีพฤติกรรมดังกล่าวมานานหลายปีแล้ว และคาดว่าจะมีเด็กได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครออกมาแฉ หรือนำเรื่อดังกล่าวมาร้องเรียน เพราะกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงของตัวเองและครอบครัว และที่สำคัญกลัวเสื่อมเสียต่อวงการศาสนาด้วย จึงไม่ดำเนินการอะไรเลย โดยปล่อยให้เหตุการณ์ยืดเยื้ออยู่เช่นนี้
“เรื่องทั้งหมด หน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบทั้งในพื้นที่และส่วนกลางทราบดี แต่ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า เกี่ยวกับคดีนี้เลยหรือเข้ามาจัดระเบียบกับวัดดังกล่าว ทั้งๆ ที่มีเอกสารหลักฐานต่างๆของผู้ที่กระทำผิด แต่ผู้กระทำผิดยังเดินลอยนวล และยังปฏิบัติภารกิจเช่นเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ที่สำคัญยังมีการข่มขู่พยานที่ทราบเรื่องด้วย ” นายบุญเลิศ กล่าว
ด้านผู้ปกครองของเด็กนักเรียนรายหนึ่ง เป็นชาวพิษณุโลก ได้ส่งลูกชายมาเรียนที่วัดแห่งนี้ และถูกกระทำ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ทางตนได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.วีรฤทธิ์ ดิษฐ์เพ็ญ สารวัตรเวร สภ.ศรีราชา เจ้าของคดี หลังบุตรชายได้ถูกกระทำดังกล่าว โดยตนได้เข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา และขณะนี้คดีความยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร
ล่าสุดได้โทรศัพท์ติดต่อสอบถามไปยังตำรวจเจ้าของคดี โดยได้รับคำชี้แจงว่า พระที่ถูกกล่าวหานั้นได้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว และได้ประกันตัวออกไป ส่วนคดีความนั้นกำลังจะส่งเรื่องไปยัง กทม.ซึ่งเรื่องนี้สร้างความแปลกประหลาดมาก เพราะเรื่องเกิดขึ้นที่ สภ.ศรีราชา แล้วทำไมถึงจะโอนคดีไปยัง กทม. แต่ก็ยังไม่มีเวลาติดตามเรื่องที่พื้นที่ เนื่องจากยังไม่ว่าง แต่อย่างไรก็ตามจะติดตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะสร้างความเสียหายและความรู้สึกของลูกชายและครอบครัวเป็นอย่างมาก