ศูนย์ข่าวขอนแก่น - กรมเจรจาการค้าต่างประเทศเปิดห้องติวเข้มผู้ประกอบการ เจ้าของสินค้าในเมืองขอนแก่นเตือนภัยให้ปรับตัวพร้อมรับมือการเปิดเสรีการค้าอาเซี่ยน กำแพงภาษีเหลือ 0% ระบุมีสินค้าท้องถิ่นหลายชนิดได้ประโยชน์จากการลดภาษีของออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ทั้ง ข้าว มันสำปะหลังและผ้าไหม
วันนี้ (12 ก.พ.) ที่โรงแรมเจริญธานี ปริ้นเซส จ.ขอ นแก่น กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้จัดสัมมนาเชิงวิชาการเรี่องการเตรียมความพร้อมต่อการรองรับการเปิดตลาดการค้าเสรีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจาในกลุ่มประเทศเอเชีย โดยมีผู้ประกอบการการค้าหลากหลายประเภทและผู้ผลิตสินค้าโอท็อปในจังหวัดขอนแก่นและใกล้เคียงเข้าร่วมสัมมนาร่วม 100 ราย
นางสาวพัชรี อิทธิอาวัชกุล นักวิชาการการพาณิชย์ เชี่ยวชาญ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่าเนื่องจากในปี 2553 นี้ ความตกลงเปิดเสรีการค้าสินค้าในกรอบต่างๆของอาเซียนกับคู่เจรจา ได้มีการลดภาษีสินค้าส่วนใหญ่ลงเหลือ 0% และในบางความตกลงฯเริ่มมีการลดภาษีระหว่างกัน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจำเป็นต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการลดภาษีในแต่ละกรอบและใช้ประโยชน์จากการลดภาษีเพื่อส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั้ง จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และนำเข้าสินค้าได้ในต้นทุนที่ต่ำลง
ขณะเดียวกันต้องหาแนวทางปรับตัวรองรับการแข่งขันที่อาจเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงแนวโน้มการทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างกลุ่มอาเซี่ยนบวก 3 (จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้และกลุ่มอาเซี่ยนบวก 6 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอินเดีย) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจโลกและมีศักยภาพรองรับสินค้าและบริการของคนไทย
นางสาวพัชรี กล่าวอีกว่า จังหวัดขอนแก่นมีสินค้าหลายชนิดที่มีโอกาสในการขยายตลาด โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการเปิดเสรีในกรอบต่างๆ เช่นเครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม ผ้าทอ ของแต่งบ้าน สินค้าที่จะได้ประโยชน์จากการลดภาษีของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เช่นข้าว มันสำปะหลัง และผ้าไหม ส่วนสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบบ้างจากความตกลงกับญี่ปุ่นเกาหลี ได้แก่ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องหนัง เครื่องสำอางค์ เป็นต้น
“สำหรับสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากการลดภาษีของไทยจากความตกลงกับจีนนั้น ที่น่าจับตามองมาก คือสินค้าจำพวก เสื้อผ้า เซรามิค ผลไม้เชื่อม ซึ่งผู้ประกอบการต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรองรับกับการแข่งขันจากการเปิดเสรีทางการตลาดครั้งนี้ด้วย”นางสาวพัชรีระบุ
ด้านนายปราโมทย์ สัจจรักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวเสริมว่า ขอนแก่นเป็นส่วนหนึ่งของประตูสู่อินโดจีน และจีนตอนใต้ ตามโครงการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก(East-West Economic Corridor)มีศักยภาพทางโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดต่อแนวทางการเปิดเสรีด้านการค้า บริการ ภายใต้ความตกลงการเปิดเสรีการค้า โดยเฉพาะไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือที่เรียกว่าสมาชิกใหม่อาเซี่ยน(กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม)
นอกจากนี้จังหวัดขอนแก่นยังมีนโยบายประสานความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรคมกับประเทศจีน ญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ เช่น เยอรมัน ไต้หวัน และเดนมาร์ก เพราะขอนแก่นมีโรงงานอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งระดับชาติและระดับโลกที่ผลิตตามคำสั่งซื้อภายใต้ Brand Name ที่มีชื่อเสียงหลายยี้ห้อ
“หากผู้ประกอบการ เจ้าของสินค้ามีความรู้ ความเข้าใจในข้อมูล ข้อเท็จจริงของความตกลงการเปิดเสรีด้านการค้าในอาเซี่ยนหรือกับประเทศคู่เจรจาระดับโลกเป็นอย่างดีแล้ว จะทำให้เราได้ช่วยกันหาโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยเราจะได้เปรียบคู่แข่งในตลาดเสรี กรุยทางนำไปสู่การขยายตลาดให้กว้างขึ้น”นายปราโมทย์กล่าว