รองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ทำหนังสือพร้อมส่งเอกสารหลักฐานพฤติกรรมสุดฉาวของพระมหาวีระชัยไปยังเจ้าคณะภาค 9 เพื่อมีคำสั่งให้จับสิขาบทกับพระมหาวีระชัย เลขาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ หลังพระสังฆาธิการคณะกรรมการสอบและเจ้าคณะจังหวัดมีมติอุ้มพระมหาวีระชัย โดยให้มีความผิดเพียงอาบัติอย่างเบา ลงโทษปลดออกจากทุกตำแหน่งเท่านั้น
ความคืบหน้ากรณีพระราชศีลโสภิต หรือหลวงพ่อหนูอินทร์เกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสาน เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธมงคล ต.หลุบ อ.เมืองจ.กาฬสินธุ์ ในฐานะรองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (มหานิกาย)นำเอกสารบันทึกประจำวันของตำรวจร้องเรียนผู้สื่อข่าวเพื่อเรียกร้องให้พระผู้ใหญ่ดำเนินการสึกพระมหาวีระชัย วชิโรซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (มหานิกาย)วัดกลางพระอารามหลวง หลังมีความประพฤติไม่เหมาะสมสวมชุดลำรองขับรถยนต์เมาสุราพาสาวหนีเที่ยวจนประสบอุบัติเหตุ
ต่อมาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ได้แต่งตั้งพระสังฆาธิการ 11 รูป เพื่อเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งมีมติไม่สิกขาบทกับพระมาหวีระชัย วชิโร โดยให้เหตุผลว่าเป็นความผิดอาบัติอย่างเบา แต่ลงโทษโดยปลดออกจากทุกตำแหน่งและให้ออกจากพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมามีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาข่มขู่พระราชศีลโสภิต จึงได้มอบหมายให้นายสมศักดิ์ แซ่ตั้ง อายุ 53 ปี เข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อติดตามตัวเจ้าของโทรศัพท์และดำเนินคดีกับพระสังฆาธิการจำนวน 11 รูป ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2553 พระราชศีลโสภิต และนายสมศักดิ์ แซ่ตั้ง ได้ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียน พร้อมนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีพระมหาวีระชัย วชิโร ที่แต่งตัวเป็นฆาราวาสขับรถยนต์พาผู้หญิงหนีเที่ยวจนเกิดอุบัติเหตุส่งให้กับเจ้าคณะภาค 9 เพื่อมีคำสั่งให้พระมหาวีระชัยสิกขาบท พ้นจากการเป็นพระ เนื่องจากการแต่งตัวเป็นฆาราวาส เมาสุรา ขับรถยนต์ถือเป็นการปาราชิกไปแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ยอมสิขาบท
พระราชศีลโสภิต กล่าวว่า มติของพระสังฆาธิการที่เป็นคณะกรรมการพิจารณาความผิดพระมหาวีระชัยทั้ง 11 รูปรวมถึงเจ้าคณะจังหวัดที่ออกมานั้น เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ศาสนาพุทธอย่างมาก และจะทำให้พุทธศาสนิกชนหมดศรัทธา เพราะการกระทำของพระมหาวีระชัยที่แต่งตัวเป็นฆาราวาส ขับรถ เมาสุรา ไปกับผู้หญิงจนเกิดอุบัติเหตุตามวินัยสงฆ์ถือว่าปาราชิก พ้นจากการเป็นพระแล้ว แต่คณะสงฆ์และเจ้าคณะจังหวัดยังอุ้มไว้ ให้เป็นความผิดอาบัติอย่างเบา ลงโทษให้ออกจากทุกตำแหน่งไม่ได้ จะต้องสิขาบทอย่างเดียว เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
พระราชศีลโสภิต กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีคนโทรศัพท์มาข่มขู่ว่าให้ยุติเรื่องทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะลงมาจัดการ จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ แต่ยังยืนยันว่าจะเดินหน้าเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามหลังเกิดเรื่องบรรดาลูกศิษย์ทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์และต่างจังหวัดทั่วประเทศให้เข้ามาให้กำลังใจให้ต่อสู่เพื่อความถูกต้องและรักษาพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
ด้านนายสมศักดิ์ แซ่ตั้ง กล่าวว่า หลังจากแจ้งความแล้วตนได้เป็นตัวแทนพระราชศีลโสภิตให้ทำหนังสือและรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวกับการกระทำผิดของพระมหาวีระชัยไปมอบให้กับเจ้าคณะภาค 9 เพื่อให้มีคำสั่งให้พระมหาวีระชัยสิขาบท เพราะไม่สามารถพึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้ อีกทั้งยังประชาชนนั้นหมดความศรัทธาจากพระมหาวีระชัยไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้รับคำตอบจากเจ้าคณะภาค 9 ในเร็วๆ นี้
ความคืบหน้ากรณีพระราชศีลโสภิต หรือหลวงพ่อหนูอินทร์เกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสาน เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธมงคล ต.หลุบ อ.เมืองจ.กาฬสินธุ์ ในฐานะรองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (มหานิกาย)นำเอกสารบันทึกประจำวันของตำรวจร้องเรียนผู้สื่อข่าวเพื่อเรียกร้องให้พระผู้ใหญ่ดำเนินการสึกพระมหาวีระชัย วชิโรซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (มหานิกาย)วัดกลางพระอารามหลวง หลังมีความประพฤติไม่เหมาะสมสวมชุดลำรองขับรถยนต์เมาสุราพาสาวหนีเที่ยวจนประสบอุบัติเหตุ
ต่อมาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ได้แต่งตั้งพระสังฆาธิการ 11 รูป เพื่อเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่งมีมติไม่สิกขาบทกับพระมาหวีระชัย วชิโร โดยให้เหตุผลว่าเป็นความผิดอาบัติอย่างเบา แต่ลงโทษโดยปลดออกจากทุกตำแหน่งและให้ออกจากพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมามีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาข่มขู่พระราชศีลโสภิต จึงได้มอบหมายให้นายสมศักดิ์ แซ่ตั้ง อายุ 53 ปี เข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อติดตามตัวเจ้าของโทรศัพท์และดำเนินคดีกับพระสังฆาธิการจำนวน 11 รูป ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2553 พระราชศีลโสภิต และนายสมศักดิ์ แซ่ตั้ง ได้ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียน พร้อมนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีพระมหาวีระชัย วชิโร ที่แต่งตัวเป็นฆาราวาสขับรถยนต์พาผู้หญิงหนีเที่ยวจนเกิดอุบัติเหตุส่งให้กับเจ้าคณะภาค 9 เพื่อมีคำสั่งให้พระมหาวีระชัยสิกขาบท พ้นจากการเป็นพระ เนื่องจากการแต่งตัวเป็นฆาราวาส เมาสุรา ขับรถยนต์ถือเป็นการปาราชิกไปแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ยอมสิขาบท
พระราชศีลโสภิต กล่าวว่า มติของพระสังฆาธิการที่เป็นคณะกรรมการพิจารณาความผิดพระมหาวีระชัยทั้ง 11 รูปรวมถึงเจ้าคณะจังหวัดที่ออกมานั้น เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ศาสนาพุทธอย่างมาก และจะทำให้พุทธศาสนิกชนหมดศรัทธา เพราะการกระทำของพระมหาวีระชัยที่แต่งตัวเป็นฆาราวาส ขับรถ เมาสุรา ไปกับผู้หญิงจนเกิดอุบัติเหตุตามวินัยสงฆ์ถือว่าปาราชิก พ้นจากการเป็นพระแล้ว แต่คณะสงฆ์และเจ้าคณะจังหวัดยังอุ้มไว้ ให้เป็นความผิดอาบัติอย่างเบา ลงโทษให้ออกจากทุกตำแหน่งไม่ได้ จะต้องสิขาบทอย่างเดียว เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
พระราชศีลโสภิต กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีคนโทรศัพท์มาข่มขู่ว่าให้ยุติเรื่องทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะลงมาจัดการ จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ แต่ยังยืนยันว่าจะเดินหน้าเรื่องดังกล่าวให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามหลังเกิดเรื่องบรรดาลูกศิษย์ทั้งในจังหวัดกาฬสินธุ์และต่างจังหวัดทั่วประเทศให้เข้ามาให้กำลังใจให้ต่อสู่เพื่อความถูกต้องและรักษาพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
ด้านนายสมศักดิ์ แซ่ตั้ง กล่าวว่า หลังจากแจ้งความแล้วตนได้เป็นตัวแทนพระราชศีลโสภิตให้ทำหนังสือและรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวกับการกระทำผิดของพระมหาวีระชัยไปมอบให้กับเจ้าคณะภาค 9 เพื่อให้มีคำสั่งให้พระมหาวีระชัยสิขาบท เพราะไม่สามารถพึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้ อีกทั้งยังประชาชนนั้นหมดความศรัทธาจากพระมหาวีระชัยไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะได้รับคำตอบจากเจ้าคณะภาค 9 ในเร็วๆ นี้