น่าน – หนุ่มเมืองน่านตัดสินใจผูกคอตายหนีความผิด หลังร่วมกับเพื่อนรวม 21 คน ก่อคดีรุมโทรมนักเรียน ม.3 จนถูกจับได้
วันนี้(12 ม.ค.) ร.ต.อ.สมเกียรติ รวมเงิน ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองน่าน ได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนผูกคอตายในป่าละเมาะบ้านไชยสถาน ต.ไชยสถาน อ.เมือง จ.น่าน จึงพร้อมกำลังและแพทย์เวรโรงพยาบาลน่านเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในป่าละเมาะท้ายหมู่บ้านไชยสถาน พบชาวบ้านจำนวนมากกำลังมุงดูผู้ตาย ทราบชื่อว่า นายพงษ์นที ศิริสาร หรือนายอาร์ต อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 122 ม.5 ต.ไชยสถาน อ.เมืองน่าน เป็นนักศึกษาสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน สวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ใช้เชือกผูกคอตนเองกับกิ่งไม้ใหญ่กลางป่าละเมาะ ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 1.50 เมตร ในลักษณะทิ้งตัวลงแล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้น เพื่อให้เชือกรัดคอตนเอง
จากการสอบถามนายไสว ศิริสาร บิดาผู้ตาย เล่าว่า ลูกชายมีอาการเครียดและซึมเศร้าหลังจากถูกจับในคดีร่วมกับเพื่อนรุมโทรมหญิง 21 ต่อ1 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 53 ที่ผ่านมา โดยได้เขียนข้อความส่งผ่านโทรศัพท์มือถือมาว่า ถ้าผมติดคุกจะผูกคอตายให้ดู จากนั้นก็หายไปจากบ้าน จึงได้ให้ญาติและเพื่อนบ้านช่วยกันตามหา และมาพบว่าเป็นศพผูกคอตายที่ป่าละเมาะท้ายหมู่บ้าน
โดยทางบิดา และญาติผู้ตายไม่ติดใจการตาย เจ้าหน้าที่จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ก่อนมอบศพให้ทางญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
ส่วนเหตุรุมโทรมหญิง เปิดเผยขึ้น เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2553 เวลา 17.00 น. ที่ผ่านมา นางนม (นามสมมุติ) มารดา น.ส.น้อย (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สมเกียรติ รวมเงิน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองน่าน ว่านายพงษ์นที ศิริสาร หรือนายอาร์ต (ผู้ตาย) ได้วางแผนร่วมกับนายดำ และนายโต (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ล่อลวงบุตรสาวไปข่มขืนกระทำชำเรา โดยทั้งหมดได้วางแผนชักชวน น.ส.น้อย ให้ไปนั่งดื่มเบียร์ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บ้านเขาน้อย ต.ไชยสถาน อ.เมืองน่าน หลังรู้จักกันในงานเลี้ยงฉลองหมู่บ้าน และได้ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนน.ส.น้อย ฯ
จากการสอบสวน นายพงษ์นที ศิริสาร หรือนายอาร์ต ผู้ตาย และนายดำ และนายโต (นามสมมุติ) ได้ให้การรับสารภาพว่าได้ทำการข่มขืนน.ส.น้อยจริง และซัดทอดว่ามีพวกอีก 18 คน(รวม 21 คน) ซึ่งเป็นนักศึกษาและเพื่อนร่วมหมู่บ้าน ร่วมกระทำครั้งนี้ด้วย โดยเจ้าหน้าที่ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐาน พร้อมเตรียมเรียกตัวทั้งหมดมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป