ตราด - พิลึก! ครู รร.บ้านเนินตบก เสนอให้เด็กนักเรียนเกือบครึ่งเป็นเด็กมีอาการพิเศษ พร้อมทำบัตรคนพิการเพื่อรับงบช่วยเหลือพิเศษ นักเรียน-ผู้ปกครองโดวยรับไม่ได้ ปธ.เยาวชน ต.แสนตุ้ง ร้องผอ.เขตการศึกษาตราด ครูสอนร่ำไห้ ผอ.เผยไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน
วันนี้ ( 7 ม.ค. 2553) ที่โรงเรียนบ้านเนินตะบก หมู่ 1 ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด นายอุดม บังเกิดสุข ผู้อำนวยการโรงเรียน และคณะครูได้เชิญผู้ปกครองของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาทางการเรียนรู้ จำนวน 60 คน มาร่วมประชุมและฟังคำชี้แจงจากนายนาวิน วิภาธนาวี นักวิชาการศูนย์การศึกษาพิเศษ จ.ตราด และนักวิชาการของศูนย์การศึกษาพิเศษ จ.ตราด และนักวิชาการสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยามาร่วมประชุม ที่หอประชุมโรงเรียน เพื่อรับฟังและรับความรู้ในเรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาว่า เด็กนักเรียนหรือเด็กมีเกณฑ์อะไรใช้วัดว่าจะเป็นเด็กพิการหรือบกพร่องทางสติปัญญา และมีปัญหาทางการเรียนรู้
ระหว่างการให้ความรู้ มีนางสาวราตรี อุปเท่ห์ ผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนคนพิการ รวมทั้งเป็นครูโรงเรียนบ้านเนินตะบก รวมทั้งครูโรงเรียนบ้านเนินตะบกร่วม รวมทั้งนายชิษณุพงศ์ ขวนขวาย ประธานคณะกรรมการชมรมเด็กและเยาวชน ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง จ.ตราด และครูฝึกสอนที่ดูแลเด็กในโรงเรียนร่วมรับฟัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อนายนาวิน วิภาธนาวี ได้อธิบายถึงลักษณะและเกณฑ์ของการจัดเด็กที่มีอาการทางสมองและการเรียนรุ้ที่วัดผลโดยการทำข้อสอบหรือแบบทดสอบไอคิว จากนั้นจะส่งไปให้แพทย์ตรวจและสอบไอคิว และความสามารถในการเรียนรู้ ปรากฎว่า ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนหลายคนได้โต้เถียงว่า ลูกไม่ได้มีอาการหรือผิดปกติทาง สมอง และทุกคนยังเรียนดี และทำกิจกรรมหรือรับฟังคำสั่งได้อย่างดี แต่ทำไมลูกจึงถูกวัดให้เป็นเด็กที่มีต่ำ อีกทั้งมีผู้ปกครองหลายคนก็ไมได้ลงชื่อเพื่อส่งบุตร-หลาน เพื่อไปให้แพทย์วินิจฉัยด้วย และถ้าบุตรหลานเป็นคนพิการทางสมอง จะส่งผลกระทบต่อการเรียนต่อและการทำงานในอนาคตด้วย
นายนาวิน ได้ชี้แจงว่า เด็กที่มีรายชื่อส่งไปเป็นผู้มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาทางการเรียนรู้ สามารถถอนชื่อออกจากบัญชีได้ทันทีที่ต้องการเหมือนกับการใส่ชื่อเด็กเป็นนักกีฬาฟุตบอลหากไม่ต้องการก็สามารถถอนชื่อได้ แต่ผู้ปกครองก็ไม่พอใจและเรียกร้องให้นางสาวราตรี อุปเท่ห์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ชี้แจงว่าทำไมบุตรหลานจึงถูกส่งรายชื่อเป็นเด้กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาทางการเรียนรู้
นางสาวราตรี กล่าวว่า เป็นเพราะเด็กที่สอนมีการเรียนรู้ช้าและเรียนไม่ทันเพื่อน ทำข้อสูบก็ช้า และทำไม่ถูก ต้องทำถึง 3-4 ครั้ง จึงต้องนำไปตรวจสอบไอคิวปรากฎว่ามีความบกพร่องทางสติปัญญา แพทย์ก็ได้มีการเซ็นหนังสือรับรองมาด้วย อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนสามารถพัฒนาการเรียนรู้และยกระดับเป็นเด็กปกติได้
ด.ช.ยุทธนา จำเนียรกาล ที่เป็น 1 ใน 60 ที่ถูกระบุว่าเป็นเด็กบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาทางการเรียนรู้ กล่าวว่าไม่ทราบสาเหตุว่าถูกจัดให้เป็นเด็กที่มีความเมื่อใด เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะเรียนไม่เก่ง แต่ก็สามารถทำกิจกรรมและเล่นกีฬาฟุตบอล,วอลเล่ย์บอลได้ดี รวมทั้งชอบเรียนวิทยาศาสตร์ และมีความรู้สึกอึดอัดใจที่โรงเรียนส่งตนเองและเพื่อนไปแข่งขันกีฬาและกิจกรรมต่างๆ กับเด็กพิการในศูนย์การศึกษาพิเศษ จ.ตราดในช่วงปีใหม่และได้รางวัลจากการขนะการแข่งขันมากมาย แต่ไม่รู้สึกภูมิใจเพราะต้องแข่งขันกับเด็กที่มีความพิการและสู้ตนเองไม่ได้
เด็กชายยุทธนา จำเนียรการ ยังได้ร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และร้องเพลงค่าน้ำนม บวกลบคุณเลขได้ ยังไม่มีท่าทางว่าจะเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
ขณะที่ผู้ปกครองของเด็กชายยยุทธนา ชื่อ นางไพรินทร์ จำเนียรกาล กล่าวว่า ลูกถูกขึ้นบัญชีเป็นเด็กปัญญาอ่อนหรือ เด็กบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาทางการเรียนรู้ เมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งตนเองไม่รู้ มารับรู้เมื่อช่วงปีใหม่ 2553 เพราะลูกชายนำของขวัญจำนวนมากมาให้และบอกว่าไปแข่งกีฬา ร่วมกับเด็กพิการที่มีน้ำลายไหล และไม่รู้ว่าทำไมครูจึงนำตนเองและเพื่อนไปแข่งขัน
จึงได้สอบถามคุณครูราตรี แต่ก็ไม่ได้รับคำชี้แจงที่เป็นที่น่าพอใจ ผู้อำนวยการก็ไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งเพื่อน ๆ ของบุตรชายก็เป็นเด็กบกพร่องทางสติปัญญา เช่นกัน วันนี้ มาร่วมประชุมกับผู้ปกครองคนอื่นเพื่อขอ คำชี้แจงก็ยังไม่ได้ความชัดเจน ซึ่งตนเองจะต่อสู้และเรียกร้องในเรื่องนี้จนได้รับความเป็นธรรม
ทางด้านนางยุวรี มลเนรมิตร ครูผู้สอนของโรงเรียนกล่าวด้วยน้ำตาว่า เป็นคนเนินตะบก และเป็นครูสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ แห่งเดียวนานกว่า 34 ปี และเมื่อก่อนนี้โรงเรียนมีชื่อเสียงได้รับรางวัลมากมาย และผลิตลูกศิษย์ออกมามากกว่า 50 รุ่น แต่เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้น พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อให้สิทธิของเด็กกลับคืนมาให้ได้ เพื่อเป็นของขวัญในวันเด็ก
อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ว่าเมื่อเป็นข่าว เป็นเรื่องราวออกมาจะทำให้โรงเรียนและครูเสื่อเสียชื่อเสียงก็ต้องทำเพื่ออนาคตของเด็ก เพราะการที่เด็กมีอาการบกพร่องทางสติปัญญา มีปัญหาทางด้านการเรียนรู้ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กตลอดไป และจะส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ และการเรียนรู้ต่อในระดับสูงต่อไป แม้จะใช้เวลานานเท่าใดก็จะยอม
ขณะที่นายอุดม กล่าวว่า ขอ้เท็จจริงในเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติที่เด็กนักเรียนจะเรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน และเป็นเรื่องปกติ ที่เด็กจะมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ซึ่งโรงเรียนได้พิจารณาเด็กที่มีปัญหาจริง ๆ แต่ไม่ได้มีมากและเป็นทั้งหมดของโรงเรียน ส่วนงบประมาณนั้นจะได้รับจากศูนย์การศึกษาพิเศษ จ.ตราด เพื่อฟื้นฟูสภาพการเรียนรู้ รายละ 2, 000บาท/ปี และยืนยันว่าไม่ได้ทำรายชื่อเพิ่มขึ้นมาเบิกงบประมาณเข้าโรงเรียน หรือหาผลประโยชน์จากโครงการนี้ ส่วนเรื่องที่มีการทำบัตรผู้พิการหลายคนจะนำเรื่องนี้เข้าไปร้องเรียนต่อสื่อมวลชนในส่วนกลางต่อไป
ส่วน นายชิษณุพงศ์ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ปกครองของเด็กนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าที่โรงเรียนแห่งนี้ มีเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพียง 4 คนเท่านั้น ทางผู้ปกครองได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการ จ.ตราด ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาตราด เพื่อให้รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว
ขณะที่นางเงาแข เดือดขุนทด ผอ.ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดตราด กล่าวว่า โครงการที่อาจารย์ราตรีทำโครงการเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณมานั้น ทางศูนย์สนับสนุนจริงในงบประมาณ 2,000 บาท/คน ซึ่งจะแบ่งเป็นเงินสด และอุปกรณ์สื่อการเรียนการสอนในอัตราที่เท่ากันสำหรับเด็กที่ต้องใช้สื่อสำหรับการเรียนการสอนจริง โดยเงินดังกล่าจะจ่ายให้ตามโครงการ (ปีการศึกษา) แล้วให้โรงเรียนและครูผู้รับผิดชอบนำไปบริหารจัดการเอง